ไบโอเทคจับมือกับชิเซโดบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ลงนามในสัญญาความร่วมมือทางด้านการวิจัย ในการประเมินศักยภาพสมุนไพรไทยด้านการผลิตเครื่องสำอางด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ และในอนาคตจะผลักดันสมุนไพรไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพให้เป็นส่วนประกอบสำคัญของตลาดเครื่องสำอางโลกที่มีมูลค้ามากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
วานนี้(24 กพ.) นายกร ทัพรังสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดงานแถลงข่าวการลงนามในสัญญาความร่วมมือด้านการวิจัย เพื่อประเมินศักยภาพของสมุนไพรไทยในการผลิตเครื่องสำอางระหว่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค)กับบริษัท ชิเซโด จำกัด ผู้ผลิตเครื่องสำอางชั้นนำจากญี่ปุ่น
นายกรกล่าวว่า ปัจจุบันสังคมโลกหันมาใส่ใจกับผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพกันมากขึ้น ทางกระทรวงวิทย์ฯ จึงหันมาถามตนเองว่าพอจะมีสิ่งใดที่สามารถผลักดันเข้าสู่ตลาดโลกได้บาง และได้พบคำตอบที่ต้องการ คือ สมุนไพร แต่ส่วนสำคัญเมืองไทยยังต้องพัฒนา ปรับปรุงให้ตรงกับความต้องการของตลาดโลกที่นับวันจะมีมูลค่ามากขึ้น โดยเฉพาะตลาดเครื่องสำอางโลกที่มีประมาณ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เกิดการร่วมมือที่จะมุ่งเน้นพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีเกี่ยวกับเครื่องสำอาง โดยแลกเปลี่ยนฐานความรู้ที่มีอยู่แล้วของแต่ละฝ่าย เพื่อให้เกิดพัฒนาการขั้นต่อๆไป
“ในการวิจัยครั้งนี้จะดำเนินภายใต้ความต้องการ 5 ข้อ คือหนึ่ง ต้องวิจัยให้รู้ได้ว่าสรรพคุณสมุนไพรที่วิจัยเป็นอย่างไร สองมีผลกระทบอะไรหรือไม่ สามนำมาใช้อย่างไรจึงเกิดประโยชน์สูงสุด สี่ต้องมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องก่อนออกเป็นผลิตภัณฑ์ ห้าผู้ได้รับผลประโยชน์จากตัวผลิตภัณฑ์ต้องจดทะเบียนอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้โครงการนี้กลายเป็นตัวช่วยให้เราได้นำความหลากหลายทางชีวภาพพืชไทย มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายกร กล่าว
ดร.มรกต ตันติเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์ไบโอเทคกล่าวว่าการร่วมมือทำโครงการวิจัยของทั้งสองฝ่ายจะทำภายใต้สนธิสัญญาชั้นต้นที่กำหนดว่ากรมวิชาการเกษตรต้องเป็นผู้อนุมัติการใช้พันธุ์พืชไทยในการทดลอง และการวิจัยต้องปฏิบัติตามปฏิญญาสากลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity – CBD) โดยเฉพาะการใช้พันธุ์พืชยั่งยืน ซึ่งจะทำการคัดเลือกพืชจากพันธุ์พืชไทยทั้งหมดกว่า 12,000 ชนิด
สำหรับการประเมินศักยภาพพันธุ์พืชไทยเบื้องต้น ไบโอเทคจะได้รับประโยชน์ด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี อีกทั้งได้รับความรู้และผลการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับคุณสมบัติของพืชไทยที่มีผลต่อผิวหนัง เส้นผมและการผลิตเครื่องสำอาง ซึ่งหากผลลัพธ์จากโครงการนี้แสดงความเป็นไปได้ในการผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ ไบโอเทคและชิเซโดจะทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อรับประกันว่าจะได้รับผลประโยชน์เท่าเทียมกัน
ดร.มรกตกล่าวต่อว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 47 โดยจะทำการจะประเมินศักยภาพสมุนไพรไทยไปอีก 6 เดือน จึงจะทำการสรุปว่าจะนำสมุนไพรตัวใดมาพัฒนาต่อ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีมากกว่า 10 ชนิด และในการร่วมมือครั้งนี้เรียกได้ว่าจะเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อเปิดทางเลือกให้กับธุรกิจเครื่องสำอางของไทย อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเชิงอนุรักษ์ทรัพยากรอย่างสมดุล ควบคู่ไปกับความคิดที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรชีวภาพในประเทศ
ส่วนหลักการในการเป็นหุ้นส่วนลงทุนร่วมกันในโครงการนี้ คือ ตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนรู้ร่วมกัน (Shared scientific targets) การรับภาระการสนับสนุนทางการเงิน (Shared financial support) การใช้ทรัพยากรบุคคลร่วมกัน (Shared human resource) การประเมินผลการดำเนินงานร่วมกัน (Shared final evaluation) การแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน (Shared benefits and results)
ดร.ฮิโรชิ ฟูคูอิ ผู้จัดการทั่วไปและหัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำศูนย์พัฒนาชิเซโดที่ญี่ปุ่น กล่าวว่า ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ตนยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมมือกับไบโอเทค ซึ่งความร่วมมือที่มีการวางแผนอย่างดีจะช่วยเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ ดังนั้นเราจึงหวังว่าความร่วมมือระหว่างองค์กรทั้งสองจะประสบผลสำเร็จและนำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกัน
สำหรับการวิจัยและพัฒนาเครื่องสำอางของชิเซโดนั้น เป็นการวิจัยในระดับนาโนเทคที่จะถือหลัก 3 ประการที่เป็นหัวใจสำคัญมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคือ ไม่นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่ปลอดภัยออกสู่ตลาด อยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเคร่งครัด สนองความพึงพอใจของผู้ใช้


