พิธีสารเกียวโตมีผลบังคับใช้แล้ว หลังจากต่อสู้มายาวนานกว่า 7 ปีในการหาสมาชิกทั่วโลกร่วมสัตยาบัน โดยมีจุดหมายหลักคือต้องการยับยั้งสถานการณ์โลกร้อน ด้วยการลดปริมาณการก่อก๊าซอันทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก
141 ประทศทั่วโลก ซึ่งมีส่วนสร้างก๊าซมากถึง 55% อันทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก โดยได้ร่วมให้สัตยาบันในสนธิสัญญานานาชาติในชื่อ “พิธีสารเกียวโต” (Kyoto Protocal) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Kyoto Protocol to the United Nations Framework Convention on Climate Change” มีการเจรจาครั้งแรกที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคมปี 2543 ว่าจะลดปริมาณการใช้สารเคมีลง 5.2% ให้ได้ภายในปี 2555 โดยสัตยาบันดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในวันนี้ (16 ก.พ.)
อย่างไรก็ดี สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียไม่ขอเข้าร่วมสัตยาบันครั้งนี้ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ และประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีนและอินเดียซึ่งลงนามในสัตยาบัน แต่ก็ขออยู่นอกกรอบการลดปริมาณก๊าซก่อเรือนกระจกเหมือนประเทศสมาชิกอื่นๆ ด้วยเหตุผลว่าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอุตสาหกรรม และญี่ปุ่นก็ได้ยกเกียวโตให้เป็นแม่งานสำหรับพิธีเริ่มดำเนินการตามสนธิสัญญาของทั้ง 141 ประเทศ
สนธิสัญญาครั้งนี้มีผลภายใน 90 วันหลังจากยินยอมลงนามในพิธีสารเกียวโตเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2547 ซึ่งรัสเซียพิจารณาอยู่นานว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ร่วม ท่ามกลางสายตาอันจอดจ่อของเหล่านักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลก และสุดท้ายก็สามารถนำพิธีสารดังกล่าวไปสู่การบังคับใช้จริง
การเข้าร่วมพิธีสารเกียวโตของรัสเซียนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะรัสเซียปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นสัดส่วน 17% ของทั่วโลกนั้นจัดว่ามีความสำคัญมาก เพราะเงื่อนไขของพิธีสารเกียวโตจะมีผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน ต่อเมื่อมีประเทศร่วมให้สัตยาบันไม่น้อยกว่า 55 ประเทศ โดยในจำนวนนี้จะต้องมีประเทศพัฒนาแล้วที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมารวมแล้วอย่างน้อย 55% ของปริมาณที่มีอยู่ในปัจจุบัน
แต่ละประเทศต่างมีวิธีการดำเนินการตามข้อกำหนดในพิธีสารคือ ภายในปี 2555 จะต้องลดให้ได้ 5.2% ซึ่งก็แล้วแต่ปริมาณมลพิษที่มากน้อยไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ
ส่วนประเทศที่ไม่ยอมเข้าร่วมแต่ทั่วโลกกำลังจับตาในฐานะผู้ปล่อยก๊าซทำลายโลกอันดับต้นๆ ได้แก่ สหรัฐและออสเตรเลียนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวการสร้างก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก แต่ถอนตัวออกจากการเข้าร่วม นับเป็นภารกิจแรกๆ ในสมัยแรกของประธานาธิบดีจอร์จ บุช โดยอ้างว่าเศรษฐกิจของประเทศตัวเองอาจได้รับผลกระทบกว้างขวางเกินไป พิธีสารนี้
ทางด้านสหรัฐฯ แม้จะปฏิเสธร่วมลงนามพิธีสารเกียวโต แต่ก็ออกมาหว่านยาหอมแก่ชาวโลกว่า สหรัฐฯ ตระหนักถึงสภาวะโลกร้อนเป็นอย่างดี โดยสหรัฐฯ ย้ำว่าให้ความสำคัญกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะปฏิเสธการเข้าร่วมลงนามพิธีสารเกียวโตที่จะมีผลบังคับใช้วันนี้แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ก็เตรียมงบประมาณมากกว่า 200,000 ล้านบาท เพื่อศึกษาหาแนวทางแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อนขึ้น
นอกจากนี้ นายโนบูทากะ มาชิมูระ รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่นออกแถลงเมื่อวานนี้ (15 ก.พ.) ว่า จะเรียกร้องให้สหรัฐและประเทศอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตรของญี่ปุ่นเข้าร่วมในสนธิสัญญาเกียวโต โดยกล่าวถึงประเทศที่อยู่นอกสนธิสัญญาที่แจ้งว่าจะใช้มาตรการของตัวเองในการแก้ปัญหาโลกร้อนนั้น "อาจจะไม่ได้ผล" จึงอยากจะเรียกร้องให้ประเทศเหล่านั้นเข้าร่วมในสนธิสัญญานี้ด้วย
อย่างไรก็ดี เหล่านักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลกวางแผนว่าจะประท้วงเพื่อให้สหรัฐยินยอมร่วมสัตยาบัน ไปพร้อมๆ กับการทำให้พิธีสารดังกล่าวมีผลในทางปฏิบัติ ซึ่งเรียกร้องให้ทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้เฉลี่ยร้อยละ 5 และต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ถึงร้อยละ 75 ภายในปี พ.ศ. 2593
ทั้งนี้ พิธีการเริ่มบังคับใช้พิธีสารโตเกียวนั้น จัดขึ้นวันนี้ (16 ก.พ.) โดยช่วงเช้ามีนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 300 คน จัดการเดินขบวนไปรอบเมืองเกียวโต เมืองหลวงเก่าอันสวยงามของญี่ปุ่น ซึ่ง ณ ที่แห่งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างสนธิสัญญาขั้นต้นขึ้นในปี 2543 ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาไม่ยอมหยุด บางคนแต่งกายเป็นลิงนกเพนกวิน บางคนก็ใส่หูเสือปลอม เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่จะมีต่อเหล่าสรรพสัตว์
และเมื่อเวลา 17.30 – 20.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งเป็นพิธีการวาระเริ่มบังคับใช้ข้อตกลง โดยมีการกล่าวเปิดโดยรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่น นายกเทศมนตรีเมืองเกียวโตและประธานโครงการข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Framework Convention on Climate Change-UNFCCC) พร้อมด้วยการกล่าวปาฐกถาพิเศษจากวังการี มาไท (Wangari Maathai) นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและรัฐมนตรีช่วยกระทรวงสิ่งแวดล้อมเคนยา เพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไปหมาดๆ เมื่อปลายปี (2547) ที่ผ่านมา
"เหตุผลหนึ่งที่บางประเทศไม่ต้องการสนับสนุนเกียวโตโปรโตคอลนั่นก็เพราะ พวกเขาไม่ต้องการลดปริมาณการบริโภคที่มีมากเกินไปในรูปแบบชีวิตปัจจุบัน” นางมาไทกล่าวระหว่างการปาฐกถาเผยพร้อมทั้งชี้ว่าพิธีสารเกียวโตนั้นอาจไม่มีประโยชน์ทางการเมืองหรือธุรกิจ แต่ว่าเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์
”อีกหนทางหนึ่งที่จะลดการบริโภคมากเกินจำเป็นนั้น เราจะต้องศึกษาวิธีการนำกลับมาใช้ใหม่ (รียูซ) โดยมีทรัพยากรมากมายที่เราใช้แล้วก็โยนทิ้งไป” มาไทแนะ และเสริมว่าแม้หลายร้อยประเทศได้ร่วมลงนามในพิธีสารเกียวโต แต่ดำเนินการเพื่อนำไปสู่เป้าหมายนั้นมันยากยิ่งนัก
นอกจากนี้ แคนาดาหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่ร่วมลงนามในพิธีสาร ก็ยังไม่มีแผนการที่ชัดเจนในปฏิบัติการลดปริมาณก๊าซก่อภาวะเรือนกระจก โดยแคนาดาปล่อยก๊าซก่อภาวะเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศนับเป็น 20% ของทั้งหมดและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา ขณะที่ญี่ปุ่นก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี พิธีสารเกียวโตมี 3 กลไกที่มุ่งจะช่วยให้ประเทศพัฒนาแล้วบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ได้แก่ 1.การดำเนินการร่วมกัน (Joint Implementation หรือ JI) 2.การค้าขายแลกเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจก (Emissions Trading หรือ ET) และ 3.กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism หรือ CDM )
สำหรับ 2 กลไกแรกเป็นกลไกที่เกิดขึ้นได้ระหว่างประเทศพัฒนาแล้วด้วยกันเท่านั้น ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยซึ่งได้ให้สัตยาบันต่อพิธีสารเกียวโตแล้วเมื่อ 28 สิงหาคม 2545 เป็นเรื่องของกลไกการพัฒนาที่สะอาดซึ่งเราสามารถเลือกร่วมโครงการได้ตามความสมัครใจ
ส่วนกลไกที่ 3 การพัฒนาที่สะอาดเป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ประเทศพัฒนาแล้วบรรลุเป้าหมายของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามพันธกรณีควบคู่ไปกับการช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ โดยประเทศพัฒนาแล้วจะมาลงทุนดำเนินโครงการเพื่อให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศที่กำลังพัฒนา แล้วก็จะนำปริมาณก๊าซที่ลดได้จากการดำเนินกิจกรรมหรือโครงการ CDM มาคำนวณเหมือนว่าได้ดำเนินการลดในประเทศของตนเอง