สกว. เปิดตัวสับปะรดจีเอ็มโอพันธุ์ใหม่ต้านสารกำจัดวัชพืชนักวิจัยชี้ให้ผลผลิต ความหวานกรอบเทียบเท่าพันธุ์ภูเก็ต หวังช่วยเกษตรกรไทยลดต้นทุนการผลิตไปกว่าครึ่ง ยืนยันต้องผ่านการประเมินความปลอดภัยทั้งด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างหลักประกันให้กับผู้บริโภคก่อน
ในการประชุมวิชาการประจำปีของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) "นักวิจัยรุ่นใหม่พบเมธีวิจัยอาวุโส" วันนี้ (14 ม.ค.) ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งได้มีการนำเสนอผลงานวิจัยใหม่ ๆ ของผู้ได้รับทุนการวิจัยจาก สกว. โดยหนึ่งในผลงานวิจัยที่ได้รับความสนใจก็คือ ผลงานของ รศ.ดร.สุนีย์รัตน์ ศรีเปารยะ คณะเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล นครศรีธรรมราช ผู้วิจัยเรื่องการทดสอบความต้านทานสารกำจัดวัชพืชกลูโฟซิเนต ในสภาพไร่ : ลักษณะทางเขตกรรมและคุณภาพผลของสับปะรดแปลงพันธุ์
ทั้งนี้ รศ.ดร.สุนีรัตน์ กล่าวนำเสนอผลงานว่าเนื่องจากสารกำจัดวัชพืชตามท้องตลาด ไม่สามารถใช้ในแปลงสับปะรดได้ เพราะเมื่อฉีดพ่นลงในแปลงสับปะรดแล้วจะทำให้ต้นสับปะรดตายพร้อมกับวัชพืชด้วย เกษตรกรปัจจุบันใช้สารกำจัดวัชพืชในกลุ่ม โบรมาซิลที่มีราคาแพงและมีข้อเสียมาก เช่น ต้องระวังการชะล้างสารลงในแปลงปลูกพืชอื่น ๆ เนื่องจากมีพิษตกค้างในดินสูงและนาน
อีกทั้งหากใช้สารเคมีในแปลงสับปะรดแล้วยังไม่สามารถปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ในแปลงที่ใช้สารกลุ่มนี้ภายในเวลา 3 ปี อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้จึงพยายามสร้างพันธุ์สับปะรดที่มีความต้านทานต่อสารกำจัดวัชพืชในกลุ่มกลูโฟซิเนต แอมโมเนียม เพราะเป็นสารกำจัดวัชพืชราคาถูกและมีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า จะทำให้เกษตรกรสามารถประหยัดต้นทุนในการผลิตได้กว่าร้อยละ 50 เพื่อทดแทนพันธุ์สับปะรดปกติทั่วไปซึ่งไม่สามารถต้านทานสารในกลุ่มนี้ได้
รศ.ดร.สีนีย์รัตน์ กล่าวว่า การวิจัยสัปปะรดต้านทานโรคดังกล่าว ได้ใช้วิธีการถ่ายยีนด้วยการนำบาร์ยีน (Bar genes) ที่ได้จากแบคทีเรียสะแท็บโตไมซิส ไฮโกรสโคปิคัสใส่ในเซลล์ของใบสับปะรดที่เป็นพันธุ์การค้าซึ่งได้แก่ สับปะรดพันธุ์ภูเก็ตที่ลักษณะผลมีกลิ่นหอม หวานกรอบ และนิยมบริโภคผลสด ซึ่งผลการทดลองพบว่าสับปะรดดัดแปรพันธุกรรม พันธุ์ใหม่ที่ได้มีความต้านทานต่อสารกำจัดวัชพืช กลูโฟซิเนต แอมโมเนียม และเมื่อตรวจสอบลักษณะเขตกรรมที่ได้ไม่ว่าจะเป็นผลผลิต ความกรอบ หรือเปอร์เซ็นต์ความหวาน ยังมีคุณภาพเทียบเท่ากับสับปะรดพันธุ์ภูเก็ตเดิมทุกประการ เพียงแต่มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มขึ้นคือ สามารถต้านทานต่อสารกำจัดวัชพืชได้ ทั้งนี้เป็นผลมาจากยีนที่ใส่เข้าไปนั่นเอง
"อย่างไรก็ตาม แม้จะประสบความสำเร็จในการพัฒนาสัปปะรดพันธุ์ใหม่แล้ว แต่ยังไม่สามารถปลูกทั่วไปได้ เนื่องจากกฎหมายในประเทศไทยขณะนี้ยังไม่อนุญาตให้ปลูกพืชดัดแปรพันธุกรรมเป็นการค้า และอนุญาตเฉพาะเพื่อการทดลองวิจัยและขณะทำการทดลองก็ได้ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางชีวภาพสำหรับการทดลองทางพันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพทั้งระดับห้องปฏิบัติการและภาคสนามอย่างเคร่งครัด รวมทั้งวางแนวทางต่อสำหรับการทำวิจัยเรื่องการประเมินความปลอดภัยด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม" นักวิจัย กล่าว
รศ.ดร.สุนีย์รัตน์ กล่าวอีกว่า กฎหมายของประเทศไทยยังไม่อนุญาตให้ปลูกสับปะรดดัดแปรพันธุกรรมเป็นการค้า เพราะฉะนั้นการที่ได้พันธุ์สับปะรดใหม่นี้มาต้องมีกฎหมายก่อนว่าอนุญาตให้ปลูกเหมือนต่างประเทศหรือไม่ และหากกฎหมายอนุญาตก็พร้อมที่จะนำเสนอตัวเลือกนี้ให้กับเกษตรกร และขั้นตอนหนึ่งที่ต้องมีคือการผ่านการประเมินความปลอดภัยทั้งด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นหลักประกันที่มั่นใจให้กับผู้บริโภคและเป็นการตอบข้อสงสัยให้กับสาธารณชน พร้อมทั้งจะศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเมื่อมีการผสมระหว่างสับปะรดทั่วไปกับสับปะรดพันธุ์ใหม่ว่ามีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมอย่างไร ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ต้องทำต่อเนื่องต่อไปด้วย