howstuffworks.com – เชื่อได้เลยว่า “เครื่องจับเท็จ” ต้องเป็นที่นึกถึงทุกครั้ง เมื่อใครต่อใครต้องการสิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” ที่พยายามยังไงก็ไม่ยอมออกมาจากปากจอมวายร้ายผู้ต้องสงสัยเสียที แต่ทว่า “เครื่องจับเท็จ” ที่พูดถึงและใช้กันบ่อยๆ นี้มีกระบวนการทำงานอย่างไร และจะจับเท็จได้จริงหรือไม่ ยังเป็นที่สงสัยตลอดมา
ก่อนอื่นต้องเข้าใจกันก่อนว่า คนทั่วไปโกหกและหลอกลวงผู้อื่นด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ส่วนใหญ่การโกหกนับเป็นกระบวนการป้องกันตัวเองเพื่อเลี่ยงการเกิดปัญหาต่อกฎหมาย เจ้านาย หรือผู้ที่มีอำนวจเหนือกว่า บางครั้งเราก็รู้ว่าใครโกหกเราอยู่ แต่บางครั้งก็ไม่ง่ายเลยที่จะจับให้ได้ว่าใครกำลังโกหก
จริงๆ แล้วเครื่องที่เราเรียกว่า “เครื่องจับเท็จ” นั้นที่แท้คือเครื่อง ”โพลีกราฟ” (polygraph) เป็นเครื่องมือที่ตรวจจับปฏิกิริยาทางสรีรศาสตร์หรือการทำงานของร่างกายของแต่ละบุคคล แต่ว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ได้ทำหน้าที่จับเท็จอย่างที่เรียกๆ กัน เพียงแค่บอกได้ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาในขณะนั้นจริงหรือลวงตา
ถ้าใครได้ดูหนังสายลับก็คงจะมีโอกาสได้เห็นเครื่องโพลีกราฟนำมาประกอบฉากบ่อยๆ แต่ว่าสายลับส่วนใหญ่ต่างก็มีทักษะในการหลอกเครื่องจับเท็จได้ แล้วในโลกแห่งความจริงล่ะ? เคยคิดไหมว่า เราสามารถหลอกเครื่องโพลีกราฟและผู้ตรวจสอบได้
เครื่องกลจะจับเท็จคนได้หรือ?
เครื่องโพลีกราฟนี้เป็นการผสมผสานอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ขณะผู้ต้องสงสัยที่ถูกถามคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ตรวจจะดูอัตราการต้นของหัวใจ ความดันโลหิต อัตราการหายใจ และการเปลี่ยนแปลงกระแสคลื่นไฟฟ้าที่ชั้นผิวหนัง โดยเปรียบเทียบกับภาวะปกติ ถ้าเส้นกราฟที่ได้มีการแกว่งหรือขึ้นๆ ลงๆ ที่ต่างกันมาก นั่นก็อาจจะชี้ได้ว่าผู้ที่ถูกตรวจสอบในขณะนั้นกำลังหลอกลวง แต่ว่าผลการตรวจสอบนั้นก็แล้วแต่ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบจะตีความว่า นี่ใช่การโกหกหรือไม่
การจับเท็จด้วยเครื่องโพลีกราฟนั้นมักจะใช้ในการสอบสวนคดีอาญา แต่บางทีก็นำไปใช้ในกรณีอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะมีการจับผู้สมัครงานเข้าเครื่องจับเท็จขณะสัมภาษณ์งาน ซึ่งปัจจุบันนี้ในบางหน่วยงานของรัฐบาลและเอกชนบางแห่งสหรัฐฯ ก็นำว่าที่พนักงานเข้าเครื่องจับเท็จก่อนว่าจ้างกันไปแล้ว
การตรวจสอบผู้ต้องสงสัยด้วย “โพลีกราฟ” นี้สร้างขึ้นเพื่อมองหาการแสดงออกที่ไม่ได้ตั้งใจอันเป็นนัยสำคัญขณะที่ผู้ต้องสงสัยอยู่ในสภาวะที่กดดันหรือเคร่งเครียด (เพราะพยายามจะปกปิดสิ่งที่ตัวเองซ่อนไว้) แต่ ดร.บ็อบ ลี (Dr.Bob Lee) อดีตผู้อำนวยการบริหารแอกซ์ไซชัน ซิสเต็ม (Axciton Systems) ผู้ผลิตเครื่องโพลีกราฟ ระบุว่าการตรวจแบบนี้ไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้หากผู้นั้นโกหกจริง แต่ก็จะปรากฏการตอบสนองทางร่างกาย อันเป็นสิ่งที่ปรากฏในคนทั่วไปขณะที่พยายามหลอกลวงผู้อื่น ด้วยการถามคำถามกดดันพิเศษขณะสอบสวนและตรวจสอบ ซึ่งมีผลต่อปฏิกิรยาทางร่างกาย ส่วนโพลีกราฟก็จะช่วยแสดงว่าพฤติกรรมเช่นนี้โกหกอยู่หรือไม่
• อัตราการหายใจ – กราฟ 2 เส้นที่จับการทำงานของปอด (Pneumographs) โดยใช้สายยางที่เติมอากาศไว้ นำมารัดไว้รอบอกและช่องท้อง เมื่อรอบอกหรือท้องขยายอากาศในท่อดังกล่าวจะถูกเบียด
ถ้าเป็นอานาล็อกโพลีกราฟ ท่ออากาศที่ถูกแย่งที่ก็จะย่นเหมือนเวลาเราเล่นแอคคอร์เดียนที่พับเมื่อโดนเบียด และคลี่ตัวเมื่อโดนดึงขยาย และตัวสูบลมนี้ก็ติดอยู่กับแขนกล ที่ต่อกับปากกาเพื่อลากไปบนกระดาษตามแรงหายใจ ส่วนดิจิตอลโพลีกราฟก็ใช้ท่อจับการทำงานของปอดเช่นกัน แต่จะบรรจุเครื่องแปลงกำลัง (transducers) ไว้เพื่อเปลี่ยนพลังงานของอากาศที่ถูกเบียดให้กลายเป็นสัญญาณไฟฟ้า
• ความดันโลหิต/อัตราการเต้นของหัวใจ - พันแถบวัดความดันโลหิตไว้รอบต้นแขน พร้อมกับต่อเข้ากับโพลีกราฟ ขณะที่เลือดสูบฉีดผ่านแขนก็จะเกิดเสียง การเปลี่ยนแปลงแรงดันเลือดทำให้เสียงไปแทนที่อากาศในหลอดที่เชื่อมต่อตัวสูบลมที่เป็นจีบเพื่อขยับปากกา ซึ่งถ้าในดิจิตอลโพลีกราฟก็ใช้หลักการเช่นเดียวกับอัตราการหายใจ
• ความต้านทานไฟฟ้าของผิวหนัง (Galvanic skin resistance : GSR) – หรือจะเรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงกระแสคลื่นไฟฟ้าที่ชั้นผิวหนัง” โดยทั่วไปก็จะวัดปริมาณเหงื่อที่ปลายนิ้ว เพราะที่ปลายนิ้วเป็นบริเวณที่มีรูมากที่สุดในร่างกาย และเป็นตำแหน่งที่สังเกตเหงื่อได้ง่าย คนเราเมื่ออยู่ในสถานการณ์กดดันแล้วจะมีเหงื่อออกมาผิดปกติ จานรองนิ้วมือซึ่งก็คือ “เครื่องวัดกระแสไฟฟ้า” (galvanometers) จะติดอยู่กับนิ้ว 2 นิ้ว โดยวัดความสามารถในการนำกระแสไฟฟ้า เมื่อผิวหนังชื้นหรือเหงื่อออกมาก ก็จะนำกระแสไฟฟ้าได้ง่ายกว่าผิวหนังที่แห้ง
โพลีกราฟบางชนิดยังเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวของแขนและขา ขณะที่ผู้ตรวจสอบตั้งคำถาม โดยสัญญาณจะส่งมาจากเครื่องตรวจจับที่ติดอยู่กับร่างกาย และแสดงผลผ่านกระดาษออกมา
ถูกชัวร์หรือมั่วนิ่ม
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ “โพลีกราฟ” กล่าวว่า การจับเท็จด้วยเครื่องแบบนี้ถือเป็น “ไสยศาสตร์” เพราะโพลีกราฟไม่เที่ยงตรงในการจับโกหก มันเหมือนการหมุนเหรียญที่ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย และที่สำคัญอย่างที่รู้กันว่าเครื่องโพลีกราฟไม่สามารถจับผิดได้ทั้งหมด แต่แค่วัดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของร่างกายเท่านั้น
ทางด้านของลี ที่ทดสอบเครื่องโพลีกราฟมากว่า 18 ปีก็ยังเห็นด้วยว่าจะใช้เจ้าเครื่องนี้จับโกหกไม่ได้ แต่ก็ยืนยันว่าทำได้แค่เพียงตรวจสภาพร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเครียดอันเป็นผลพวงมาจากอาการโกหก แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้อย่างลึกซึ้ง
เราใช้ “โพลีกราฟ” ร่วมจับโกหกอย่างไร
หลายปีที่เราเห็นโพลีกราฟในภาพยนตร์เป็นเครื่องที่มีเข็มอันเล็กๆ ขีดเส้นผ่านกระดาษกราฟออกมา ซึ่งนั่นเรียกกว่า “อนาล็อก โพลีกราฟ” (analog polygraph) แต่เครื่องดังกล่าวได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเมื่อมีการใช้คอมพิวเตอร์กันอย่างแพร่หลาย ในปัจจุบันโพลีกราฟส่วนใหญ่กลายเป็นดิจิตอลไปแล้ว โดยตัวเข็มขีดเส้นกราฟถูกแทนที่ด้วยการวิเคราะห์จำแนกอย่างสมัยใหม่ และแสดงผลผ่านจอคอมพิวเตอร์
หากคุณต้องถูกจับทดสอบผ่านโพลีกราฟ ทันทีที่นั่งลงทั้งท่อและสายไฟต่างๆ ก็จะมาติดอยู่กับตัวคุณตามตำแหน่งที่ร่างกายจะแสดงกิจกรรมบางอย่าง อันเป็นสัญญาณแห่งการโกหก และพฤติกรรมแห่งการหลอกลวงก็จะถูกจับได้ด้วยโพลีกราฟหรือผู้ตรวจสอบที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี บางทีในกระบวนการยุติธรรมก็มีเจ้าหน้าที่ที่เป็น “นักจิตสรีรวิทยา” มาช่วยจับผิดการทำงานของร่างกายอันมีผลต่อจิตใจเป็นการเฉพาะ ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะคอยดูการแสดงผลกราฟที่แกว่งของกิจกรรมภายในร่างกายดังต่อไปนี้
ในการตรวจโกหกโดยใช้โพลีกราฟนั้นจะมีคนอยู่ในห้องเพียงแค่ 2 โดยเป็นผู้ตรวจสอบกับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าโกหก และในบางครั้งก็ต้องการเจ้าหน้าที่จิตสรีรวิทยาของศาลมาช่วยอีกแรงหนึ่ง เพราะว่าบางครั้งผู้ตรวจสอบที่อยู่กับเครื่องโพลีกราฟอาจตีความผิดพลาดได้ ซึ่งนักจิตวิทยาจากศาลจะดำเนินการขณะตรวจจับเท็จ โดยตั้งเครื่องโพลีกราฟ และเตรียมบุคคลที่จะนำขึ้นเครื่อง ถามคำถาม ตรวจสอบสังเกตผู้ที่ถูกทดสอบ วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลการทดสอบ
ส่วนคำถามที่ใช้ถามจนสามารถกระตุ้นให้เกิดการแสดงผลขณะทดสอบนั้น เจ้าหน้าที่ผู้ออกแบบคำถามจำเป็นจะต้องพิจารณา ว่าคำถามแบบใดเพิ่มปฏิกิริยาตอบสนอง แต่คำถามบางหัวข้อก็นำไปสู่การแสดงพฤติกรรมที่อาจทำให้เข้าใจผิดว่าผู้ต้องสงสัยกำลังโกหก ดังนั้นในการตั้งคำถามขณะจับเท็จด้วยเครื่องโพลีกราฟจึงจำเป็นต้องวางแผนและมีการออกแบบให้เข้ากับผู้ที่ได้รับทดสอบ
ทั้งนี้ ก่อนจะจับมนุษย์เข้าเครื่องจับเท็จนั้น จะต้องมีการ “พรีเทสต์” โดยเริ่มจากการสัมภาษณ์ผู้ต้องสงสัยเสียก่อน นับเป็นการเรียนรู้กันและกัน ซึ่งตรงนี้จะทำให้ผู้ทดสอบรู้ว่าควรจะตั้งคำถามแบบไหนถึงจะนำไปสู่การแสดงพฤติกรรมซ่อนเร้น จากนั้นก็ “ออกแบบคำถาม” ผู้จับโกหกจะออกแบบคำถามในประเด็นที่ต้องการสอบสวน จากนั้นก็นำไปใช้ในการทดสอบ
คำถามขณะทดสอบอาจจะมีประมาณ 10 ข้อโดย 3 ใน 4 เป็นคำถามเกี่ยวกับคดีที่ต้องการสอบสวน ที่เหลือจะเป็นคำถามควบคุม ซึ่งเป็นคำถามธรรมดาทั่วไปอย่างเช่น “ในชีวิตนี้คุณเคยขโมยของหรือไม่” แน่นอนว่าเกือบทั้งหมดจะต้องตอบว่า “เคย” แต่ถ้าใครตอบว่า “ไม่เคย” ก็พอสันนิษฐานได้ว่าน่าจะโกหก ซึ่งโพลีกราฟก็จะแสดงผล และใช้กราฟชุดนี้ไปเป็นแนวทางการวิเคราะห์คำตอบอื่นๆ
จับถูกเป็นผิด มากกว่าผิดเป็นถูก
มีหลายครั้งทีเดียวที่ผู้ดำเนินการทดสอบด้วยโพลีกราฟตีความปฏิกิรยาของคนผิดในคำถามเฉพาะ โดยอาจจะสรุปว่าคนที่พูดความจริงกลับกำลังโกหก และคนกำลังโกหกกลับพูดความจริง ซึ่งความผิดพลาดในการวิเคราะห์นั้นมักจะเกิดกับกรณีแรกมากกว่า
บ่อยครั้งที่ผู้ถูกจับเข้าเครืองโพลีกราฟเอาชนะหรือหลอกเครื่องวัดสภาพร่างกายชิ้นนี้ ซึ่งทริกเล็กๆ น้อยๆ นี้มีปรากฏอยู่มากมายตามเว็บไซต์ หนังสือ (หรือแม้แต่ในหนัง) เพื่อแนะนำว่าจะทำอย่างไรถึงจะหลอกเครื่องโพลีกราฟได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยานอนหลับ อย่าทำให้เหงื่อออกบริเวณปลายนิ้ว ติดเข็มกลัดหรือตะปูไว้ที่รองเท้า กัดลิ้น ริมฝีปากหรือกระพุ้งแก้มเอาไว้ เป็นต้น
ความพยายามหาสิ่งมาแก้ทำให้เครื่องโพลีกราฟแสดงผลผิดๆ ก็เพื่อการตีความจะได้ไกลจากความเป็นจริง ผู้ที่ถูกจับเท็จจะแสดงปฏิกิริยาเหมือนๆ กันในทุกๆ คำถามทำให้ผู้ที่ตรวจสอบไม่สามารถหาการตอบสนองขณะพูดเท็จได้ อย่างเช่น ถ้าเอาตะปูไว้ในรองเท้าและเอาเท้าเหยียบตะปูขณะตอบคำถาม แรงตอบสนองทางกายที่เครื่องอ่านได้ก็จะรุนแรง และก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันในทุกๆ ข้อ
ยังมีคำถามและข้อกังขามากมายเกี่ยวกับเครื่อง “โพลีกราฟ” ก่อนที่จะได้รับการยอมรับโดยกระบวนการยุติธรรมระบบใหญ่และคนหมู่มาก และไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ยอมรับกับการนำ “โพลีกราฟ” มาใช้ในการจับเท็จนี้ ในแต่ละปีมีคนจำนวนมากต้องผ่านการทดสอบด้วยเครื่องแบบนี้ ซึ่งทำให้ชีวิตของหลายๆ คนต้องเปลี่ยนไปหลังจากผลการทดสอบออกมา