ข่าวคราวการเคลื่อนตัวของพายุ “หมุ่ยฟ้า” ที่จะกำลังจะขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของประเทศ สร้างความวิตกกังวลให้คนไทยทั่วประเทศไม่น้อย เพราะต่างหวั่นว่าจะเกิดความเสียหายเหมือนกรณีพายุลูกอื่นๆ ที่ได้สร้างความเสียหายก่อนหน้านี้ และก็ดูเหมือนว่าจะเกิดกับพี่น้องชาวใต้มากกว่าจังหวัดอื่นๆ เราไม่รู้ว่าพายุ “หมุ่ยฟ้า” ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ จะสร้างความเสียหายมากน้อยเพียงใด ผู้จัดการวิทยาศาสตร์เห็นว่าเราควรจะความรู้เกี่ยวพายุไว้บ้างเพื่อเตรียมตัวป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น
สำหรับพายุที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้นเป็นพายุหมุนเขตร้อน (Tropical cyclone) เรียกทั่วไปว่าพายุหมุนหรือพายุไซโคลน ถิ่นกำเนิดของพายุหมุนนี้อยู่ในแถบละติจูดต่ำนอกเขตบริเวณเส้นศูนย์สูตร ส่วนเกณฑ์การแบ่งความรุนแรงตามข้อมูลอ้างอิงของกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่าพิจารณาจากความเร็วลมสูงสุดบริเวณใกล้ศูนย์กลางและตามข้อตกลงระหว่างประเทศในย่านมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตกและทะเลจีนใต้ แบ่งความรุนแรงของพายุหมุนได้เป็น
- พายุดีเปรสชั่นเขตร้อน (Tropical depression) ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางไม่ถึง 34 นอต หรือ 63 กม./ชม. มีลักษณะลมกรรโชกแรงเป็นครั้งคราว ซึ่งมีกำลังไม่แรงพอที่จะทำลายบ้านเรือนได้ ทำให้เกิดฝนตกในประเทศได้มาก แต่ถ้ามีพายุดีเปรสชั่นมากๆ ก็จะทำให้เกิดน้ำท่วมได้
- พายุโซนร้อน (Tropical storm) ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง 34 นอต หรือ 63 กม./ชม. ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 63 นอต หรือ 118 กม./ชม. มีกำลังแรงพอที่จะทำลายบ้านเรือนที่มีโครงสร้างไม่แข็งแรงได้ รวมทั้งทำให้กิ่งไม้หักโค่น และทำให้เกิดน้ำท่วมได้ ฝนที่ตกอย่างหนักทั้งวันทั้งคืนอาจทำให้เกิดน้ำป่าและแผ่นดินถล่มได้
- ไต้ฝุ่น (Typhoon) ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางตั้งแต่ 64 นอต หรือ 118 กม./ชม. ขึ้นไป มีความรุนแรงมากที่สุด สามารถทำให้เกิดความเสียหายเช่นเดียวกับพายุโซนร้อนแต่มีความรุนแรงมากกว่า อาจทำให้เสาไฟฟ้าหักโค่น เกิดไฟฟ้าช็อตหรือเพลิงไหม้ได้ ในทะเลมีคลื่นลมแรงจัดมากเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ โดยเฉพาะเรือเล็ก และอาจมีคลื่นใหญ่ซัดชายฝั่ง ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมากจนท่วมอาคารบ้านเรือนริมทะเลได้
จากสถิติ 48 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 -2541 พบว่าพายุหมุนที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยมีทั้งหมด 164 ลูก ส่วนใหญ่เป็นพายุดีเปรสชั่น มีเพียง 11 ครั้งเท่านั้นที่ไม่ใช่และหนึ่งในพายุเหล่านั้น มีเพียงพายุ “เกย์” เท่านั้นที่เป็นพายุไต้ฝุ่น โดยเคลื่อนขึ้นฝั่ง จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2532 และสถิติของเดือนที่พายุมีโอกาสเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยมากที่สุดคือเดือนตุลาคม นอกจากนี้ยังพบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะ จ.นครพนม มีการเคลื่อนผ่านของศูนย์กลางพายุมากกว่าบริเวณอื่นๆ ของประเทศ แต่ในเดือนพฤศจิกายนมีโอกาสที่พายุจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ภาคใต้มากกว่าประเทศไทยตอนบนโดยเฉพาะ จ.นครศรีธรรมราช
รูปแบบการเคลื่อนตัวของพายุจะเคลื่อนตัวจากแหล่งกำเนิดในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ไปทางแนวทิศตะวันตกและขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนามก่อนจะผ่านลาวหรือกัมพูชา แล้วเข้าสู่ประเทศไทย และสำหรับพายุหมุนที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งเดือนหลังของพฤศจิกายนนั้น มี 2 รูปแบบคือ รูปแบบหลักที่มีแหล่งกำเนิดในมหาสมุทรแปซิฟิกและจะเคลื่อนตัวจากผ่านฟิลิปปินส์ ทะเลจีนใต้ เวียดนาม และลาวตอนล่างหรือกัมพูชาก่อนเข้าสู่ไทยทางฝั่งภาคใต้ตั้งแต่ตอนกลางของภาคลงไป ส่วนรูปแบบรองมีแหล่งกำเนิดในมหาสมุทรแปซิฟิก และมีเส้นทางการเคลื่อนตัวผ่านบริเวณต่างๆ เหมือนกับรูปแบบหลัก
แต่พายุหมุนไม่ได้สร้างแต่ความเสียหายเท่านั้น เพราะพายุหมุนซึ่งเคลื่อนตัวเข้าสู่ไทยส่วนใหญ่เป็นพายุดีเปรสชั่น ซึ่งเป็นผลดีต่อการเกษตรของไทย เนื่องจากโดยปกติฝนที่ตกในประเทศไทยเกิดจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และพายุหมุน โดยทางภาคใต้ก็จะมีฝนตกชุกระหว่างเดือน พ.ย. ถึง เดือน ม.ค. หากขาดอิทธิพลจากลมมรสุมและพายุหมุน ก็จะทำให้เกษตรกรประสบกับปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะการปลูกข้าวที่มีฤดูกาลปลูกขึ้นอยู่กับอิทธิพลของพายุต่างๆ
อ้างอิงข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา
ภายถ่ายดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา
รายชื่อพายุ (ชุดใหม่) ที่ก่อตัวทางมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกตอนบนและทะเลจีนใต้