บีบีซีนิวส์/เอพี – นักวิทยาศาสตร์กว่า 50 คนหวังฟื้นชีวิต “แกรนด์ แคนยอน” ร่วมระดมสูบน้ำจากเขื่อนเกลน แคนยอนเข้าท่วมมรดกโลกที่มีสภาพทรุดโทรมลงอย่างหนัก หลังจากถูกเขื่อนกั้นการหมุนเวียนของระบบนิเวศน์มากว่า 40 ปี ปลาเฉพาะถิ่นหายไปถึง 4 ชนิด พร้อมๆ กับสันทรายและน้ำวนก็แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไปแล้ว
เหล่านักวิทยาศาสตร์ร่วมกันระบายน้ำผ่านท่อเหล็กขนาดใหญ่ 4 ท่อของเขื่อน “เกลน แคนยอน” (Glen Canyon dam) เพื่อระบายน้ำปริมาณมหาศาลออกจากเขื่อนแห่งนี้ ที่กั้นแม่น้ำโคโลราโด (Colorado River) เข้าสู่บริเวณแกรนด์แคนยอน ในรัฐแอริโซนาของสหรัฐ เพื่อศึกษาผลกระทบของการระบายน้ำคืนสู่แม่น้ำโคโลราโด คาดว่าตะกอนปริมาณมากกว่า 800,000 ตัน ไหลออกมาพร้อมน้ำภายใน 90 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้แม่น้ำโคโลราโดกลับมามีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง
ทั้งนี้ หลังจากการสร้างเขื่อนดังกล่าวขึ้นมาเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วได้ส่งผลให้ ปลาสายพันธุ์ท้องถิ่น 4 ใน 8 ชนิด หายไปจากระบบนิเวศของแกรนด์ แคนยอน ขณะที่กระแสน้ำวน และสันหาดทรายริมตลิ่งของแม่น้ำโคโลราโดก็แทบไม่ปรากฏให้เห็นแล้ว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเขื่อนเกลน แคนยอน คือสาเหตุของการเสียสมดุลทางธรรมชาติของแกรนด์แคนยอน โดยหวังว่าการปล่อยให้น้ำท่วมแกรนด์แคนยอน จะทำให้ใต้ท้องน้ำเกิดชั้นตะกอนดินขึ้นมาใหม่ จากที่ถูกทำลายไปกว่า 90%
เอบี วาด (AB Wade) โฆษกหน่วยสำรวจทางธรณีวิทยา สหรัฐฯ เปิดเผยว่า หลังจากการสร้างเขื่อนระบบนิเวศน์ก็จำต้องยอมปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพราะเขื่อนดังกล่าว และนอกจากปลาเฉพาะถิ่นที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ยังมีสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่อาศัยอยู่บริเวณแกรนด์ แคนยอนและนับวันจะหายากขึ้นทุกขณะ เช่น หอยทากสีอำพันอย่าง “กานาบ” (Kanab amber snail) ซึ่งต้องอาศัยพืชผักในการเติบโต
ทั้งนี้ ในการระดมพ่นน้ำเข้าสู่แกรนด์ แคนยอนนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเย็นวันอาทิตย์ (21 พ.ย.) ที่ผ่านมา โดยใช้ท่อโลหะเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 เมตร พ่นน้ำกว่า 1,161 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเข้าท่วมสิ่งมหัศจรรย์ของโลก พร้อมกันนี้นักวิทยาศาสตร์อีกราว 50 คนก็จะล่องเรือไปตามแม่น้ำเพื่อตรวจสอบตะกอน และสร้างระบบนิเวศน์ขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ดี ความพยายามที่จะรื้อฟื้นระบบนิเวศน์ของแกรนด์ แคนยอนในลักษณะเดียวกันนี้ ประสบความล้มเหลวไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว (พ.ศ.2539) โดยครั้งนั้นมีความพยายามที่จะรักษาชายฝั่งและแนวสันทรายในแม่น้ำเอาไว้ ส่วนครั้งนี้จะทำสำเร็จหรือไม่ เหล่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็ยังไม่อาจแน่ใจได้มากนัก
”นี่เป็นการทดลอง ถ้าไม่สำเร็จ พวกเราก็จะพิจารณาหาหนทางเพื่อดำเนินการกันใหม่ในอีก 18 เดือนข้างหน้า” เวดเผย
“แกรนด์ แคนยอน” นับเป็น 1 ใน 7 นั้นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยเทือกเขาและช่องเขาจำนวนมากที่เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำที่ไหลผ่านเบื้องล่าง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมลรัฐแอริโซนา เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำโคโลราโดเป็นเวลานานหลายล้านปีทำให้เกิดเป็นร่องกว้างประมาณ 6 – 29 กิโลเมตรตลอดความยาวกว่า 446 กิโลเมตร ซึ่งหุบนี้มีความลึกกว่า 1,600 เมตร กินบริเวณ 1,217,403 เอเคอร์
หลังจากมีการสร้าง “เขื่อนเกลน แคนยอน” ในปี พ.ศ.2506 (1963) เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าและเก็บกักน้ำ ทำให้ตะกอนที่ไหลมาตามลำน้ำถูกกั้นด้วยเขื่อนจึงไม่สามารถไหลลงมาได้ ส่วนน้ำที่ปล่อยออกมาก็เป็นน้ำลึกจากอ่างเก็บน้ำที่ถูกเก็บไว้เหนือเขื่อนทำให้อุณหภูมิในแม่น้ำเย็นกว่าปกติ
นอกจากนี้จากการตรวจสอบด้วยเลเซอร์และแผนที่โซนาร์ก็พบว่าทรายของแกรนด์ แคนยอนในปัจจุบันพังทลายลงไปมาก ขณะที่การฝังไมโครชิพลงไปในปลาก็ทำให้ทราบว่าก็กำลังตกอยู่ในสภาวะอันตรายเช่นกัน ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับอุทยานแห่งนี้ก็รู้มาเป็นเวลานานนมแล้วว่า แกรนด์ แคนยอนกำลังจะถึงกาลอวสาน
อย่างเช่นในขณะนี้ที่ปลาจำนวน 4 สายพันธุ์จากทั้งหมด 8 สายพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแกรนด์ แคนยอนไม่สามารถพบได้แล้ว ทั้งนี้เนื่องจากถูกทำร้ายด้วยกระแสน้ำที่เย็นขึ้นส่งผลให้ปลาชนิดนี้ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ รวมทั้งพยาธิตัวตืดที่เพิ่มจำนวนก็รังควาญบรรดาสิ่งมีชีวิตในแม่น้ำมากขึ้น
ขณะเดียวกันกลุ่มฟื้นฟูแกรนด์ แคนยอนที่รวมตัวกันจากบรรดาผู้เกี่ยวข้องกับอุทยานแห่งชาติเหล่านี้ถึง 25 กลุ่ม ต่างก็ต้องการให้จัดการปัญหาของอุทยานแห่งนี้ให้ตรงกับผลประโยชน์ของตัวเอง จึงเกิดความขัดแย้งกัน อีกทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐก็อยากให้ประชาชนอีกกว่า 25 ล้านคนที่อยู่ปลายน้ำในแคลิฟอร์เนีย เนวาดา อริโซนา นิวเม็กซิโก ยูทาห์ ไวโอมิง และโคโลราโดมีน้ำใช้ ส่วนเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าก็เกรงว่าจะสูญเสียรายได้หากว่าเปลี่ยนแปลงการไหลของแม่น้ำ หรือแม้แต่ชาวประมงต้องการจับปลาเทราต์ ขณะที่นักอนุรักษ์ต้องการรักษาปลาชับ แต่ปลาเทราต์กินลูกปลาชับเป็นอาหาร ปัญหาของแกรนด์ แคนยอนจึงยังคงดำเนินต่อไปด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมด


