3 หนุ่มน้อย “รร.พระยามนฯ” คว้าเหรียญเงินแข่งหุ่นยนต์โลก 2004 สร้างชี่อให้โรงเรียนชานเมืองหลวง ปลื้มแข่งปีแรกก็คว้ารางวัลใหญ่ เผยใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีก็สร้างเด็กเก่งได้ ขอเพียงได้งบสนับสนุนรับรองพัฒนาได้ไม่น้อยหน้าเด็กโรงเรียนชื่อดัง
หลังจากที่การแข่งขันหุ่นยนต์นานาชาติ (WRO:World Robot Olympaid 2004) ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ประเทศสิงคโปร์ (Singapore Science Center) ปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้วเมื่อต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมกับตัวแทนนักเรียนไทย 3 คนจากโรงเรียนพระยามนธาตุราชศรีพิจิตร์ จากบางบอน กรุงเทพฯ ที่ได้คว้า “รางวัลเหรียญเงิน” ประเภท “หุ่นยนต์เขาวงกต” ระดับประถมศึกษารุ่นอายุไม่เกิน 12 ปีติดไม้ติดมือกลับมาฝากประเทศ
เยาวชนคนเก่งผู้ร่วมทีมมีทั้งหมด 3 คนได้แก่ ด.ช.ศุภชัย ศรีภูงา ด.ช.นัฐเดช ไวยธารี ทั้งคู่อยู่ชั้น ม.1 และด.ช.คมสัน ปวงไชยา ชั้นป.6 โดยมีอาจารย์ผู้ควบคุมทีมคืออาจารย์สถิตย์ พิรมย์พูล และอาจารย์ชัยณรงค์ บุญประเทือง อาจารย์ประจำวิชาวิทยาศาสตร์และนันทนาการ ประจำ “ห้องหุ่นยนต์ความรู้” ซึ่งเป็นโครงการนำร่องในการศึกษาเกี่ยวกับหุ่นยนต์ของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดย รร.พระยามนฯ เป็น 1 ใน 6 โรงที่เป็นผู้นำของโครงการนี้
ผลผลิตจาก “ห้องหุ่นยนต์ความรู้” ทำให้นักเรียนทั้ง 3 ได้เดินทางไกลจนได้ถึงตำแหน่งรองแชมป์หุ่นยนต์เด็ก ซึ่งกว่าที่พวกเขาจะฝ่าฟันไปสู่เส้นชัยได้นั้น ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลย เริ่มจากห้องหุ่นยนต์ที่ตั้งขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้วพร้อมๆ กับความพยายามฝึกฝนเรียนรู้และพัฒนาทักษะการสร้างและบังคับหุ่นยนต์ขึ้น โดยทั้ง 3 ได้เริ่มแสดงฝีมือแข่งขันและพัฒนาหุ่นยนต์ครั้งแรก ณ ท้องฟ้าจำลอง
“ไปแข่งครั้งแรกก็ไม่เชื่อว่าจะชนะได้” อ.สถิตย์เผย และความมั่นใจก็เพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งได้ส่งนักเรียนทั้ง 3 ไปคว้าตำแหน่งตัวแทนประเทศไทย ขณะแข่งขันหุ่นยนต์โอลิมปิกรอบคัดเลือก ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต เมื่อกลางเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้แก่โรงเรียนเป็นอย่างมาก เพราะหนุ่มน้อยทั้ง 3 ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งถึง 3 ประเภท คือ หุ่นยนต์เขาวงกต, หุ่นยนต์เดินตามเส้น และหุ่นยนต์ซูโม่
“การแข่งขันคัดเลือกในประเทศแต่ละโรงเรียนมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และได้เห็นรูปแบบหุ่นยนต์ของแต่ละโรงเรียนก่อนแข่ง ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งหลังจากที่ทราบเป็นที่แน่นอนแล้วว่าได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันที่สิงคโปร์ก็มีการวางโปรแกรมฝึกซ้อมกันวันละ 3 เวลา ซึ่งเด็กก็มีความมุมานะขยันฝึกซ้อมจนเกิดความชำนาญ” อ.สถิตย์กล่าว
การแข่งขันหุ่นยนต์โอลิมปิกนี้มีโต้โผใหญ่คือ บริษัทแกมมาโก จำกัด ซึ่งผลิตภัณฑ์สำคัญก็คือ “ชุดตัวต่อเลโก” ที่ใครเคยเป็นเด็กคงรู้จักกันดี และแน่นอนว่าอุปกรณ์ในการผลิตหุ่นยนต์ทั้งหมดก็คือชิ้นส่วนของเลโก แต่ว่าประกอบไปด้วยซอฟต์แวร์และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้สร้างตัวหุ่นยนต์และออกแบบคำสั่งเพื่อบังคับนวตกรรมของพวกเขา โดยในการแข่งขันระดับโลกนั้น ทางผู้จัดการแข่งก็จะแจ้งเงื่อนไขการทำงานของหุ่นยนต์ เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันได้สร้างโปรแกรมบังคับหุ่นขึ้นมา ซึ่งหุ่นทีมที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพที่สุดก็คว้ารางวัลไป ซึ่งน้องๆ ของไทยก็ได้รางวัลเหรียญเงินในประเภท “เขาวงกต”
การสร้างหุ่นยนต์เขาวงกตเป็นการจำลองแนวคิดมาจากหุ่นยนต์กู้ภัยช่วยชีวิตมนุษย์ในสนามรบ ที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ ในการแข่งขันน้องๆ ทั้ง 3 ต้องทำงานแข่งกับเวลาที่กำหนดไว้เพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยต้องเริ่มทำใหม่ตั้งแต่แรกทุกอย่าง ตั้งแต่การประกอบหัวหุ่นยนต์ ขณะที่อีกคนก็สำรวจเส้นทางเขาวงกตที่คณะกรรมการตั้งมาให้ จากนั้นก็ปรึกษาเพื่อคีย์ข้อมูลเข้าสู่โปรแกรมโรโบ แล็บส์ (Robo Lab) ผ่านตัวรับสัญญาณอินฟราเรดหรือไออาร์ (IR) เพื่อโหลดเข้ากับหุ่นยนต์
“คำสั่งในโปรแกรมเป็นไอคอนรูปภาพบังคับการทำงานของหุ่นยนต์ ตอนแข่งที่ประเทศสิงคโปร์นั้น ค่อนข้างเข้มงวดมาก จะปรึกษากับครูที่สอนมาไม่ได้เลย” น้องนัฐเดชเผย และที่สำคัญอุปกรณ์ทุกอย่าง ทางทีมงานก็ต้องยกไปเองตั้งแต่อุปกรณ์ตัวต่อที่ยกกันไปเป็นกล่อง ชุดคอมพิวเตอร์อีก 2 ชุดที่ต้องไปประกอบกันที่นั่น เรียกว่าพะรุงพะรังกันน่าดู
แต่สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดสำหรับ น้องๆ ทั้ง 3 คือไม่มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้กันแบบที่แข่งขันกันในประเทศ ทำให้ต้องช่วยกันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเอง
“ที่ยากก็คือ ไม่ให้เราได้ลองปล่อยหุ่นยนต์ก่อนแข่ง เหมือนตอนแข่งในประเทศที่ให้ลองปล่อยหุ่นลงสนามได้ก่อน 3 ครั้งก่อนนำไปแก้ไข ส่วนที่ไปแข่งมานี้จะให้ปล่อยก่อนรอบเดียวแล้วแข่งจับเวลาหาผู้ชนะเลย ทำให้ต้องช่วยกันดู ตรวจสอบชิ้นส่วนของหุ่นให้เรียบร้อยรอบคอบก่อนปล่อยเพราะจะไม่มีโอกาสได้แก้ตัว” นัฐเดชหัวหน้าทีมเผย แต่ไม่ว่าจะยากแค่ไหนทีมนักเรียนโรงเรียนพระยามนฯ สามารถคว้ารางวัลเหรียญเงินมาได้เป็นรองเพียงทีมจากประเทศมาเลเซียชาติเดียวเท่านั้น
ทางด้าน อาจารย์ชัยณรงค์ ผู้คุมทีม เผยถึงสาเหตุของความสำเร็จนี้ว่า ทางโรงเรียนเป็น 1 ใน 6 ของโรงเรียนนำร่องวิทยาศาสตร์นันทนาการ ในสังกัดกรุงเทพมหานครที่ได้รับเงินสนับสนุนการซื้อชุดต่อหุ่นยนต์มาจาก งบประมาณแปรญัตติของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เป็นงบที่มาพร้อมกับห้องวิทยาศาสตร์นันทนาการที่เป็นห้องที่เรียนในเรื่องของหุ่นยนต์โดยเฉพาะ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมาจากการแข่งขันในครั้งนี้ เพราะเพียงส่งแข่งขันเป็นปีแรกก็ได้ถึงเหรียญเงิน ในขณะที่โรงเรียนอื่นส่งแข่งมา 4-5 ปีแล้วกว่าจะประสบความสำเร็จ
“ก่อนไปแข่งก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพียงเห็นเด็กโรงเรียน กทม. ได้ประสบการณ์ในการไปแข่งต่างประเทศบ้างและเท่าที่ค้นมาโรงเรียนพระยามนฯ เป็นโรงเรียน กทม.แห่งแรกที่ได้มีโอกาสแบบนี้ จากการประชุมในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาคาดกันว่า ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้านี้โรงเรียน กทม. จึงหวังที่จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าแข่งขันเพราะได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วว่าในระยะเวลาเพียง 2 ปีเราสามารถทำได้”
“จึงอยากให้มีการสนับสนุนอุปกรณ์และงบประมาณเหล่านี้กับโรงเรียน กทม. มากๆเพราะเวลาที่โรงเรียน กทม. จะของบประมาณอะไรแต่ละครั้งค่อนข้างลำบาก เงินทุนมีไม่มากเหมือนโรงเรียนเอกชน หากมีงบประมาณโรงเรียน กทม. ก็มีโอกาสได้แสดงศักยภาพภาพออกมา ไม่อย่างนั้นโรงเรียนที่มีโอกาสได้ไปแข่งขันแบบนี้ก็จะมีแต่โรงเรียนชื่อดังและโรงเรียนเอกชนเท่านั้น” อ.ชัยณรงค์เผยถึงโอกาสของโรงเรียนชานเมือง
ในส่วนของชุดต่อที่มีแผงวงจรคอมพิวเตอร์แบบเดียวกับที่ใช้ในการแข่งขันนั้นได้รับมา 2 ชุดมีมูลค่าถึงชุดละ 25,000 บาท ไม่รวมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งปรากฏว่ามีเด็กในโรงเรียนให้ความสนใจมากจนต้องสั่งซื้อเองเพิ่มอีก 4 ชุดโดยในครั้งหลังนี้ใช้งบประมาณจากเงินบำรุงการศึกษาของโรงเรียนเอง รวมไปถึงสนามที่ใช้ในการแข่งขันหุ่นยนต์อีก 9,500 บาทก็สั่งซื้อเพิ่มเพื่อให้เด็กได้ฝึกซ้อมกับสนามจริงได้เต็มที่
“การต่อหุ่นยนต์ทำให้เด็กได้รับผิดชอบในการสร้างทุกอย่าง ทุกขั้นตอน และใช้ได้ผลในทุกระดับ เป็นสื่อที่ท้าทายและค่อนข้างเหมาะ และใช้ได้กับภาพรวมในวิชาอื่นด้วย ไม่ใช่คิดว่าต่อการหุ่นยนต์จะทำได้เฉพาะชั้นสูงๆเท่านั้นแต่ใช้ได้ทุกระดับตั้งแต่ชั้นประถม ม.ต้น ถึงแม้ว่าสื่อตัวนี้จะมีราคาสูง แต่เป็นสื่อที่เด็กใช้แล้วมีความสุขใช้ประโยชน์คุ้มค่าก็เป็นสิ่งที่สมควรแก่การลงทุน” อาจารย์ชัยณรงค์กล่าว
อาจารย์ชัยณรงค์ เผยอีกว่า หลังจากที่โรงเรียนพระยามนฯ ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยก็ได้มีการทำเรื่องของบประมาณเพิ่มเติมไว้จาก 2 หน่วยงานคือ จากซิตี้แบงก์และประธานสภากรุงเทพมหานคร (สก.)อีก 3 ล้านบาท เพื่อนำมาซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมและหากอาคารหลังใหม่ของโรงเรียนสร้างเสร็จก็มีแผนที่จะขยายห้องวิทยาศาสตร์นันทนาการเพิ่มอีกหนึ่งห้องเพื่อให้เด็กนักเรียนได้ใช้ประโยชน์จากหุ่นยนต์ทดลองนี้ได้ทั่วถึงกัน
การประสบความสำเร็จของน้องๆ และทีมจากโรงเรียนพระยามนธาตุราชศรีพิจิตร์ สังกัด กทม. นอกจากจุดประกายให้เด็กๆ ที่ร่วมทีมทั้ง 3 มุ่งมั่นอยากเป็นนักเขียนโปรแกรมและเป็นวิศวกรด้านหุ่นยนต์ในวันข้างหน้าแล้ว ความภาคภูมิใจแห่งชัยชนะครั้งนี้ยกระดับให้กับโรงเรียนสังกัด กทม.ที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสทั้งทางด้านงบประมาณและวิชาการเพื่อพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ หรือนี่จะเป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า “เด็กเก่งๆ และครูที่สร้างสรรค์” แท้จริงก็มีอยู่ทั่วไป เพียงแต่จะได้รับโอกาสหรือไม่ต่างหาก