xs
xsm
sm
md
lg

“แพรี่ ด็อก” อุทาหรณ์สำหรับคนรักสัตว์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ด้วยความน่ารักน่าชังทำให้ "เจ้าแพรี่ด็อก" ได้รับความนิยมไปทั่วอเมริกา แต่เมื่อช่วงปีที่ผ่านมาก็มีโรคระบาดใหม่คือ “โรคฝีดาษลิง” ในประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเขย่าขวัญมวลมนุษย์อีกครั้ง แม้ว่าความรุนแรงของโรคนี้จะไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นตาย แต่ก็เป็นภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้ามเพราะความรักสัตว์อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์


โรคฝีดาษลิง” (Monkey Pox)เกิดการแพร่ระบาดในหลายมลรัฐทางตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อนี้สูงถึง 37 รายแล้ว ในรัฐวิสคอนซิล อิลลินอยส์ และอินดีเอนา โดยคนเหล่านั้นล้มป่วยหลังจากซื้อ ”แพรี่ ด็อก” มาเลี้ยง มีอาการไอ ไข้ขึ้นสูง เหงื่อออกมาก ตัวสั่น มีอาการลมพิษ และมีผื่นพุพอง โดยเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าติดเชื้อมาจากหนูแกมเบียน สัตว์เลี้ยงที่นำเข้าจากแอฟริกา แล้วแพร่เชื้อต่อไปยัง “แพรี่ด็อก” อีกหนึ่งสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของคนอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ทางการสหรัฐฯระบุว่า เชื้อนี้ไม่น่าจะติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ แต่คนที่มีแผลจากการถูกสัตว์เลี้ยงกัดที่ยังรักษาไม่หาย ควรกักตัวเองป้องกันการแพร่ระบาด และผู้ที่เลี้ยง “แพรี่ด็อก” และ “หนูแกมเบียน” ไว้ในครอบครอง ให้รีบปรึกษาแพทย์ในทันที ส่วนผู้ที่ได้รับภูมิต้านทานไข้ทรพิษแล้วจะสามารถต้านทานเชื้อฝีดาษลิงได้เช่นกัน

ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐได้สั่งห้ามจำหน่ายสัตว์ชนิดนี้อย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งสั่งห้ามนำเข้าจากทวีปแอฟริกาแล้ว ทั้งยังแนะนำให้ประชาชนที่ได้รับเชื้อไวรัสลิงรับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษด้วย ทั้งนี้วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคไวรัสลิงหรือไข้ทรพิษลิงได้ในระยะเวลา 2 สัปดาห์นับตั้งแต่วันที่ได้รับเชื้อ

ทั้งนี้ การระบาดของโรคนี้ นับเป็นครั้งแรกที่แพร่จากแอฟริกาข้ามมาระบาดในซีกโลกตะวันตก ซึ่งการระบาดของโรคฝีดาษลิงครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในคองโกเมื่อปี 1997 มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ระหว่าง 1-10%

เมื่อเร็วๆนี้ ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซียก็สั่งห้ามนำตัว “แพรี่ ด็อก” เข้าประเทศเพื่อการจำหน่ายเป็นสัตว์เลี้ยงชั่วคราวแล้ว หลังทราบข่าวการแพร่ระบาดของ “โรคฝีดาษลิง” ในสหรัฐฯ โดยให้ความเห็นว่า “แพรี่ ด็อก” เป็นสาเหตุของโรคดังกล่าว


สำหรับประวัติส่วนตัวของ “แพรี่ ด็อก” มีชื่อเต็มว่า “แพรี่ด็อกหางดำ” (Black-tailed Prairie Dog) เนื่องจากมีลักษณะเด่นก็คือปลายหางมีสีดำเป็นเอกลักษณ์ ส่วนสาเหตุที่เรียกมันว่า“สุนัข” ก็เนื่องจากเวลามีศัตรูมาเยือน มันจะส่งเสียงเห่าคล้ายสุนัข

“แพรี่ ด็อก” มีถิ่นกำเนิดที่ทุ่งหญ้าแพรี่ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cynomys ludovicianus เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในตระกูลฟันแทะ เช่นเดียวกับพวกหนูตะเภา แฮมสเตอร์ มีตาโต ฟันแข็งแรง หางยาว 3-4 นิ้ว ขนรุงรังสีน้ำตาลทอง หูสั้น เท้ามีสีครีม ชอบอาศัยอยู่เป็นฝูง ฝูงหนึ่งจะแบ่งย่อยเป็นหน่วยเล็กที่เรียกว่า “cotery” และในแต่ละ “cotery” จะมีตัวผู้ตัวเดียวนอกนั้นเป็นตัวเมียประมาณ 4 ตัว “แพรี่ ด็อก” พร้อมเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 1 ปีขึ้นไป ชอบกินเมล็ดพืช ต้นพืช รากพืชเป็นอาหาร อาศัยโดยการขุดรูใต้ดิน

สมาชิกแต่ละตัวจะทักทายกันด้วยการยิงฟันออกมาสัมผัสกัน เช่นเดียวกับการทักทายของคนที่ทักทายด้วยการ “จูบ” กัน “แพรี่ด็อกตัวเมีย” จะมีลูกครั้งละประมาณ 4-5 ตัวต่อปี ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน ระยะเวลาในการตั้งครรภ์ประมาณ 28 –32 วัน ลูกของมันตอนเกิดมาในช่วง 34-35 วัน จะยังไม่ลืมตาและไร้ขน มันจะไม่ออกมาภายนอกรูจนกระทั่งอายุได้ 6 สัปดาห์ แพรี่ด็อกตัวเมียอาจจะมีอายุยืนยาวได้ถึง 8 ปี ส่วนตัวผู้ปกติจะมีอายุสั้นกว่า คือ ไม่เกิน 5 ปี

ด้าน “นายสัตวแพทย์ ปานเทพ รัตนากร” คณบดีคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แสดงความคิดเห็นว่า ด้วยการ “แพรี่ด็อก” มีขนสีน้ำตาลทองนิ่มมาก เนื่องจากมี 2 ชั้น ตัวไม่ใหญ่นัก หน้าตาน่ารัก มีความซุกซน จึงมีคนนิยมนำมาเลี้ยง สำหรับประเทศไทยมีการนำแพรี่ด็อกเข้ามาประปรายนานหลายปีมาแล้ว มีขายตลาดที่ตลาดนัดสวนจตุจักร เท่าที่ทราบประเทศไทยยังไม่ได้มีการห้ามนำเข้า แต่ในหลายๆประเทศก็ได้มีการห้ามนำเข้าแล้ว

น.สพ. ปานเทพ กล่าวต่ออีกว่า สาเหตุทราบมาว่า เกิดจาก “แพรี่ด็อก” ไปติดเชื้อฝีดาษลิงมาจากหนูแกมเบียนในแอฟริกาที่เข้ามาอยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยงด้วยกัน จากนั้นก็แพร่ระบาดผ่านทางผู้ที่ไปซื้อมาเลี้ยง โดยเชื้อนี้ไม่สามารถทำให้คนเสียชีวิตได้ แต่สามารถทำให้ลิงตายได้ สำหรับอาการของคนที่ติดเชื้อนี้มาจะมีอาการคล้ายๆกับไข้ทรพิษหรือฝีดาษ มีตุ่มตามผิวหนัง มีอาการไข้ปวดเนื้อปวดตัว

เจ้าแพรี่กำลังเห่า “ตอนนี้ประชาชนที่ซื้อมันเอาไว้อย่าเพิ่งแตกตื่นตกใจและปล่อยมันทิ้งไว้ ในบ้านเรายังไม่มีรายงานการแพร่ระบาดของเชื้อนี้ แต่ถ้ามันมีอาการเจ็บป่วยหรือ คนเลี้ยงมีอาการผิดปกติก็ให้รีบปรึกษาแพทย์ด่วน” น.สพ.ปานเทพกล่าวเตือนสติคนไทยที่มีแพรี่ด็อกไว้ในครอบครอง

สภาพของเด็กที่เป็นไข้ทรพิษ หรือ ฝีดาษ หากย้อนกลับไปดุอาการของ “ไข้ทรพิษ” (ฝีดาษ) ที่เคยสร้างความหวั่นกลัวต่อคนไทยในอดีต โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส “Variolar ” พบครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2504 และต่อจากนั้นยังไม่พบอีกเลย “ไข้ทรพิษ”สามารถแพร่กระจายในอากาศ จากละอองสิ่งคัดหลั่งของคนที่เป็นโรค อาทิ น้ำมูก น้ำลายหรือจากการสัมผัสกับผิวหนังที่มีแผล มีความคงทนต่อสภาพอากาศไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว และสามารถติดต่อจากคนไปสู่คนได้โดยง่าย ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดท้อง ในบางรายอาจมีอาการทางสมอง เช่น เพ้อ อาละวาด หรือซึม

จากนั้นจะเริ่มมีแผลในช่องปาก คอ หน้าลำตัว แขน และขา ซึ่งแผลตามตัวที่เห็นจะเป็นตุ่มหนอง ตอนแรกจะดูใส ต่อมาไม่นานก็จะเป็นขุ่นแบบตุ่มหนอง คล้ายอีสุกอีใส แต่รุนแรงกว่าภายใน 24-48 ชม. และใช้เวลาประมาณ 8-9 วัน กว่าที่ตุ่มหนองเหล่านี้จะเริ่มแห้งเป็นสะเก็ดดำๆ และกลายเป็นแผลเป็นใน 3-4 สัปดาห์ โดยมีระยะติดต่อตั้งแต่ตอนที่เริ่มมีอาการ และช่วงสัปดาห์แรก จะเป็นช่วงที่มีโอกาสแพร่เชื้อได้ง่ายที่สุด ไปจนถึงตอนที่แผลแห้งเป็นสะเก็ดแล้ว

ปัจจุบันไทยไม่มีวัคซีนไข้ทรพิษหลงเหลืออยู่ เนื่องจากมีการยกเลิกการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษกันตั้งแต่ปี พ.ศ.2515 เหลือเพียงไม่กี่ประเทศที่ยังมีการเก็บวัคซีนเชื้อไข้ทรพิษไว้ใช้ในสงคราม เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย รวมถึงบางประเทศที่ยังกระหายการทำสงครามอยู่ และหากเกิดสงครามเชื้อโรคเหล่านี้ขึ้น คนไทยคงรู้สึกหนาวๆร้อนๆอย่างแน่นอน

เป็นที่สังเกตที่ว่าเชื้อโรคที่สร้างความหวาดหวั่นต่อสังคมมนุษย์ในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่เกิดจากการข้ามสายพันธุ์ จากสัตว์มาสู่คนแทบทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น โรคเอดส์ อีโบล่า (Ebola) โรคไลม์ (Lyme disease) ฮันตาไวรัส (Hantavirus) รวมไปถึง เวสต์ไนล์ (West Nile) ดังนั้น นอกจากการเฝ้าระวังโรคในคนแล้ว ควรเฝ้าระวังในสัตว์ควบคู่ไปด้วย เช่น ไม่ควรนำสัตว์แปลกถิ่นมาเลี้ยง เฝ้าระวังการตายของสัตว์ที่มีลักษณะแปลกๆ ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนด้วยว่าเกิดจากสาเหตุอะไร จะทำให้การรักษาและควบคุมง่าย

กำลังโหลดความคิดเห็น