xs
xsm
sm
md
lg

อย.เผย WHO ประกาศให้ไทย เป็นประเทศปลอดไขมันทรานส์ จากอุตสาหกรรมอาหาร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อย.ร่วมมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) เปิดผลเฝ้าระวังอาหารเสี่ยงปนเปื้อนไขมันทรานส์ ตอกย้ำความสำเร็จของประเทศไทยในการกำจัดไขมันทรานส์ออกจากอุสาหกรรมอาหารได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมคงมาตรการเฝ้าระวังเข้มอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษามาตรฐานความปลอดภัยอาหาร และสุขภาพของคนไทยอย่างยั่งยืน

เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยถึงความสำเร็จของประเทศไทยในการคุ้มครองสุขภาพประชาชนจาก "กรดไขมันทรานส์" (Trans Fat) หรือที่รู้จักกันในฐานะ"ภัยเงียบ" ที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชาชนทั่วโลกปีละกว่า 500,000 ราย ไขมันทรานส์ คือกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่พบได้ทั้งในธรรมชาติ (ปริมาณน้อย เช่น เนื้อวัว นม เนย) และที่สำคัญคือ ไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเกิดจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partial Hydrogenation) ลงในน้ำมัน เพื่อทำให้น้ำมันเหลวเปลี่ยนเป็นไขมันกึ่งแข็ง หรือไขมันแข็ง (Partially Hydrogenated Oil) ไขมันประเภทนี้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรม เนยเทียม และ เนยขาว ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์เบเกอรี เช่น ขนมปังกรอบ เค้ก พาย และคุกกี้ เนื่องจากช่วยให้ผลิตภัณฑ์หืนช้าและมีอายุการเก็บรักษานานขึ้น เพื่อควบคุมความเสี่ยงดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ดำเนินการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ด้วยการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน และอาหารที่มีส่วนประกอบดังกล่าว เป็น อาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2562


จากการเฝ้าระวังและตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดย อย. มีการเก็บตัวอย่างอาหารกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ โดนัททอด พัฟและเพสทรี ขนมเบเกอรี่ เนยเทียม เนยขาว ครีมเทียม และเวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลต รวมทั้งสิ้น 546 ตัวอย่าง ส่งตรวจวิเคราะห์นั้น ผลการตรวจพบว่า ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ไม่พบผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่มเสี่ยงใด ๆ ตกมาตรฐาน หรือมีการใช้ไขมันทรานส์ที่มาจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน ซึ่งการดำเนินการที่เข้มงวด ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย การให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยสามารถกำจัดไขมันทรานส์ออกจากอุตสาหกรรมได้สำเร็จ ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ได้ประกาศให้ไทยเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการกำจัดกรดไขมันทรานส์ออกจากอุตสาหกรรมอาหาร

อย่างไรก็ตาม นอกจากไขมันทรานส์ยังมีไขมันอิ่มตัวที่เป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดและหัวใจ ต้องควบคุมปริมาณการบริโภค ซึ่งองค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization, FAO) แนะนำปริมาณสูงสุดในการบริโภคไขมันทรานส์ต้องไม่เกิน 1% ของค่าพลังงานต่อวัน หรือประมาณ 2 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 0.5กรัมต่อหน่วยบริโภค และแนะนำปริมาณสูงสุดในการบริโภคไขมันอิ่มตัวที่ไม่เกิน 10% ของค่าพลังงาน หรือประมาณ 20 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 5 กรัมต่อมื้อไว้ด้วย เนื่องจากตระหนักว่าไขมันทั้งสองประเภทยังเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น จึงต้องควบคุมปริมาณการบริโภคร่วมกัน และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย


นางสาวทัศนีย์ แน่นอุดร รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ในส่วนของการสุ่มตรวจที่สภาองค์กรของผู้บริโภคร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เลือกสุ่มเก็บตัวอย่างไอกรีมซอฟท์เสิร์ฟ เพื่อหาปริมาณไขมันทรานส์เพราะเป็นสินค้าที่กำลังได้รับความนิยม และมีจำหน่ายหลากหลายยี่ห้อ โดยในปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่นิตยสารฉลาดซื้อเก็บข้อมูลนั้น ซอฟท์เสิร์ฟเป็นสินค้าประเภทหนึ่งที่มีการแข่งขันกันในท้องตลาดสูงมาก ด้วยราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงง่าย ราคาหลัก 10 บาท/ โคน เรารวบรวมรายชื่อผลิตภัณฑ์ Softserve โดยพิจารณาจากความนิยมของแบรนด์ สุ่มเลือกเก็บตัวอย่างและบันทึกข้อมูลของตัวอย่าง โดยมีจำนวนไม่น้อยกว่า 15 รายการ จากร้านค้าที่จัดจำหน่ายทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล และนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ส่งตรวจยังห้องปฏิบัติการทดสอบที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 โดยตัวอย่างซอฟท์เสิร์ฟ จำนวน 15 ตัวอย่างแสดงฉลากยี่ห้อ ดังนี้ 1. MIXUE 2.Wedrink , 3. Ai-CHA, 4.DairyQueen, 5. KFC, 6. McDonald's, 7.Mos Burger, 8. Burger king, 9. Tian Tian, 10. Cacoa dutch, 11. Minkki, 12. Top Daily, 13. SNOWTEE, 14. BingChun, 15. IKEA สุ่มเก็บตัวอย่างในเดือนตุลาคม 2568 จากนั้นส่งทดสอบปริมาณไขมันทรานส์ และ ไขมันรวม (total fat) พบว่า
- ผลการทดสอบ 15 ตัวอย่าง พบไขมันทรานส์ตั้งแต่ 0.013 ถึง 0.242 กรัม/ 100 กรัม มีค่าเฉลี่ย 0.051กรัม/ 100 กรัม
- พบไขมันรวม (Total Fat) ตั้งแต่ 2.422 ถึง 6.205 กรัม/100 กรัม มีค่าเฉลี่ย 4.07 กรัม/ 100กรัม
ผลทดสอบโดยละเอียดอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.chaladsue.com


อย่างที่ทราบว่าตามกฎหมายห้ามเติมไฮโดรเจน เพื่อเป็นไขมันทรานส์ แต่ไขมันทรานส์นั้นมีในธรรมชาติได้ เช่น ไขมันจากสัตว์ นม เนย ชีส ที่ผ่านมา อย.ได้ทำงานร่วมกับสถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อหาปริมาณไขมันทรานส์ตามธรรมชาติในอาหาร หากตรวจพบไขมันทรานส์ในอาหาร อย. จะมีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานในว่า ไขมันทรานส์ที่ตรวจพบในอาหารนั้นมาจากแหล่งธรรมชาติ หรือการใช้น้ำมันที่มีการเติมไฮโดรเจนบางส่วน และจากผลการตรวจสอบ ถ้ากินเพียง 1 โคน อาจจะไม่เกิน แต่ในชีวิตประจำวันนั้น เรายังได้รับไขมันทรานส์จากอาหารประเภทอื่น ๆ ด้วย แม้ว่ามีไขมันทรานส์ธรรมชาติ จะไม่ผิดกฎหมาย แต่อาจผิดต่อผู้ที่รักสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก หากรับประทานเกินหนึ่งหน่วยบริโภคต้องออกกำลังกายให้เหมาะสมด้วย


ด้าน นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคเราทำงานเพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค รวมทั้งสนับสนุนและดำเนินการ ตรวจสอบ เฝ้าระวังสถานการณ์ปัญหาสินค้าและบริการ แจ้งหรือโฆษณาข่าวสารหรือเตือนภัยเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ที่อาจกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคด้วย นอกจากนี้ สภาฯ มีอำนาจตามกฎหมาย ในการรวบรวม และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ผลการเฝ้าระวังในครั้งนี้มีผลออกมาเป็นผลเชิงบวก พูดง่ายๆ ถ้าไม่ดี ก็เตือนภัย แต่ถ้าดี ก็ชื่นชม บทบาทของเครือข่ายผู้บริโภคและภาคประชาสังคมในการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด การร่วมกันระหว่างภาครัฐ วิชาการและประชาสังคมในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน นับเป็นเบื้องหลังความสำเร็จที่เป็นต้นแบบให้กับประเทศต่าง ๆ ได้ เป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานร่วมกัน คนที่จะได้ประโยชน์ก็คือประชาชน

ในมุมมองของสภาองค์กรของผู้บริโภค เมื่อมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมไขมันทรานส์แล้วลดลงได้จริง การควบคุมแต่ต้นทางและการกำกับดูแลของภาครัฐอย่างจริงจัง จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก




กำลังโหลดความคิดเห็น