xs
xsm
sm
md
lg

สถิติใหม่! คนไทยเป็นเบาหวานทะลุ 6.1 ล้านคน “รพ.วิมุต-เทพธารินทร์” แนะ “รู้ก่อน ปรับก่อน ป้องกันได้” เจาะ 5 สัญญาณเตือน "ดื้ออินซูลิน" ต้นตอโรค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แม้จะมีการรณรงค์ให้คนไทยตระหนักถึงภัยเงียบของโรคเบาหวานอย่างต่อเนื่อง แต่จำนวนผู้ป่วยกลับเพิ่มขึ้นทุกปีเช่นเดียวกับทั่วโลก โดยสถิติล่าสุดในปี 2568 มีผู้เป็นเบาหวานกว่า 6.1 ล้านคน และ ยังมีผู้เป็นเบาหวานถึง 27% หรือ 1.6 ล้านคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน

โรคเบาหวานมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ค่อย ๆ สะสมจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารปริมาณมากเกินควร อ้วนลงพุง ขาดการออกกำลังกาย และเครียดเรื้อรัง ปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรคเบาหวานและโรคเรื้อรังอื่น ๆ

เนื่องในวันเบาหวานโลก วันที่ 14 พฤศจิกายน โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ในฐานะผู้นำด้านการแพทย์เชิงป้องกัน ขอเชิญชวนให้ทุกคนหันมาใส่ใจและดูแลตัวเอง “รู้ก่อน ปรับก่อน ป้องกันได้” เพื่อห่างไกลจากโรคเบาหวาน

“Theptarin Model” ต้นแบบการแพทย์เชิงป้องกันที่เน้นให้คนไทยดูแลตัวเองได้
ความเชี่ยวชาญของ โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ไม่ได้อยู่ที่การรักษาโรคเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันโรคมากกว่าการรอรักษาเมื่อเจ็บป่วย โดย ศ.เกียรติคุณ นพ.เทพ หิมะทองคำ อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อ และผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ได้กล่าวถึงแนวคิดที่แตกต่างนี้ว่า "โรงพยาบาลส่วนใหญ่เน้นให้คนกลับมาใช้บริการ แต่ Theptarin Model มุ่งให้คนดูแลตัวเองได้ เราเชื่อว่าการให้ความรู้และการปรับพฤติกรรมเป็นหัวใจสำคัญของการชะลอและหยุดยั้งโรคเรื้อรัง หรือหากเป็นแล้วก็จะสามารถควบคุมโรค ชะลอภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้

ศ.เกียรติคุณ นพ.เทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า “โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่สร้างภาระด้านสุขภาพเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ปัจจุบันคนไทยมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน 45% หรือ 27.4 ล้านคน และมีคนที่เสี่ยงเป็นเบาหวานในอนาคตถึง 5.7 ล้านคน การเข้าใจกลไกของโรคและลงมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ คือ กุญแจสำคัญในการลดภาระด้านสุขภาพของประเทศ”

เข้าใจ “ภาวะดื้ออินซูลิน” จุดเริ่มต้นของโรคเบาหวานประเภทที่ 2
อินซูลินคือฮอร์โมนที่ช่วยนำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่เมื่อร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน เซลล์จะไม่ตอบสนองต่ออินซูลินตามปกติ ส่งผลให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้น หลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้นแต่อินซูลินทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และในที่สุดกลายเป็นโรคเบาหวาน

ภาวะนี้มักเกิดขึ้นเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัว และไม่ใช่แค่เรื่องของคนที่เป็นโรคเบาหวานเท่านั้น เพราะภาวะดื้ออินซูลินยังเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร่วมที่เรื้อรังอีกหลายโรค อาทิ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ตับอักเสบจากไขมัน รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด

สัญญาณเตือนของภาวะดื้ออินซูลินที่ไม่ควรมองข้าม ได้แก่
• ไขมันสะสมในช่องท้อง หรือ อ้วนลงพุง ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน เช่น ไขมันบางชนิดทำให้ความไวต่ออินซูลินลดลง กรดไขมันอิสระในกระแสเลือดที่นำไปตับ จะทำให้ตับสร้างน้ำตาลกลูโคสเพิ่มขึ้น และดื้อต่ออินซูลิน เป็นต้น

• หิวบ่อย อยากกินของหวาน แม้เพิ่งรับประทานอาหาร เพราะภาวะดื้ออินซูลินทำให้กลูโคสเข้าถึงเซลล์ได้ไม่เต็มที่ ร่างกายเลยสั่งให้หิวอีก
• นอนพอแต่ไม่สดชื่น เหนื่อยง่าย เพลียเรื้อรัง เป็นผลจากน้ำตาลในเลือดที่ไม่คงที่ และอินซูลินที่ทำงานได้ไม่เต็มที่
• ผิวคล้ำบริเวณคอ รักแร้ ข้อพับ เกิดจากอินซูลินที่สูงไปกระตุ้นการเจริญของเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวหนาและคล้ำขึ้น มีลักษณะคล้ายขี้ไคล
• ผลตรวจสุขภาพผิดปกติ เช่น ไตรกลีเซอไรด์สูง ไขมันดี (HDL) ต่ำ ความดันโลหิตสูง หรือมีภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งทั้งหมดนี้มีต้นตอร่วมจากการที่อินซูลินสูงเรื้อรัง

“รู้ก่อน ปรับก่อน” เปลี่ยนพฤติกรรมวันนี้ เพื่อสุขภาพดีวันหน้า
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ป้องกันได้ โดยโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ได้แนะแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวาน ดังนี้
• กินอาหารให้ถูกสัดส่วน ลดน้ำตาลและแป้งขัดขาว กินผักใบเขียว อาหารที่มีใยอาหารสูง โปรตีนคุณภาพ และไขมันดี เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อ เช่น การเดินเร็ว หรือเวทเทรนนิ่งเบา ๆ เพราะกล้ามเนื้อจะดูดซึมกลูโคสจากเลือดไปใช้เป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายต้องการอินซูลินน้อยลง และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
• ลดน้ำหนักส่วนเกิน เพราะไขมันที่มากเกินไปทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลินง่าย
• จัดการความเครียด เพราะฮอร์โมนคอร์ติซอลจากความเครียดเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน

ตรวจสุขภาพก่อนโรคถามหา
โรคเบาหวานไม่ใช่โรคที่ไกลตัว การตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนับเป็นจุดเริ่มต้นของการป้องกัน สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือเริ่มมีสัญญาณเตือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรองที่แม่นยำยิ่งขึ้น เช่น การตรวจค่า A1C เพื่อหาค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสมในเลือดตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ถ้าน้ำตาลสูงกว่าปกติ ควรตรวจความทนต่อระดับน้ำตาลในเลือด (OGTT)

ส่วนผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานแล้ว ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับพฤติกรรมควบคู่กันไป เพื่อคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด และหากต้องการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเบาหวาน สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์และต่อมไร้ท่อเทพธารินทร์ โรงพยาบาลวิมุต–เทพธารินทร์ โทร 02-348-7000 ต่อ 4024 หรือ 4020 ทุกวัน 8.00 – 16.00 น.










กำลังโหลดความคิดเห็น