xs
xsm
sm
md
lg

“หมอธีระวัฒน์” ชี้ “ข้อจำกัดไขมันอิ่มตัว” ควรถูกทบทวน หลังพบหลักฐานใหม่ไม่เกี่ยวโรคหัวใจโดยตรง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา” ชี้ การบริโภคไขมันอิ่มตัวไม่ควรถูกเหมารวมว่าเป็นอันตราย เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่พบว่าแนวคิดนี้อาจไม่มีความแน่นหนาเพียงพอ แนะแนวทางโภชนาการ มุ่งเน้นอาหารโดยรวม ความสมดุลของสารอาหาร และพฤติกรรมสุขภาพ มากกว่าการจำกัดสารอาหารชนิดเดียว

วันที่ 16 ต.ค.ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธานศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” เปิดเผยถึงเบื้องหลังของแนวคิด “ห้ามบริโภคไขมันอิ่มตัว” ว่ามีที่มาจากสมมุติฐานทางโภชนาการที่เริ่มต้นตั้งแต่ทศวรรษ 1950 และมีอิทธิพลต่อแนวทางนโยบายอาหารทั่วโลก แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่กลับพบว่าแนวคิดนี้อาจไม่มีความแน่นหนาเพียงพอ

แนวคิดดังกล่าว หรือที่รู้จักกันในชื่อ diet-heart hypothesis เริ่มต้นจากงานของ Ancel Keys ที่เชื่อมโยงการบริโภคไขมันอิ่มตัวกับระดับคอเลสเตอรอลและโรคหัวใจ โดยเฉพาะจากงาน “Seven Countries Study” ที่กลายเป็นรากฐานให้สมาคมหัวใจสหรัฐฯ (AHA) และรัฐบาลหลายประเทศออกคำแนะนำให้ลดไขมันอิ่มตัว อย่างไรก็ตาม ภายหลังมีข้อวิจารณ์ว่า งานวิจัยนี้อาจเลือกประเทศและข้อมูลบางส่วนเพื่อสนับสนุนสมมุติฐานที่ตั้งไว้ล่วงหน้า

ในช่วงทศวรรษ 1960–1970 มีการทดลองแบบสุ่มควบคุม (RCTs) หลายโครงการที่พยายามทดแทนไขมันอิ่มตัวด้วยไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันพืช แต่ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราการเกิดโรคหัวใจหรือการเสียชีวิต โดยบางโครงการที่ให้ผลลัพธ์สวนทาง เช่น Minnesota Coronary Survey กลับไม่ได้เผยแพร่ผลในทันที

ข้อมูลที่ทบทวนในรอบ 10 ปีหลังจากนั้น โดยเฉพาะงานวิเคราะห์ซ้ำระดับเมตา (meta-analyses) และการศึกษา PURE study พบว่า “ไม่มีหลักฐานแน่ชัด” ว่าไขมันอิ่มตัวเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ หรือการเสียชีวิตโดยรวม อีกทั้งบางกรณียังพบว่า การบริโภคไขมันอิ่มตัวสัมพันธ์กับอัตราการตายที่ต่ำกว่า

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ระบุว่า เอกสารที่เปิดเผยผ่านกฎหมายเสรีภาพข้อมูลของสหรัฐฯ (FOIA) ชี้ให้เห็นถึงอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในกระบวนการร่างนโยบายอาหาร โดยเฉพาะแนวทางอาหารอเมริกัน (Dietary Guidelines for Americans – DGA) ปี 2015 และ 2020 ที่ยังคงกำหนดให้บริโภคไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 10% ของพลังงานทั้งหมด ทั้งที่ไม่มีหลักฐานรองรับชัดเจน อีกทั้งมีสมาชิกคณะกรรมการบางส่วนมีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมน้ำมันพืชและอาหารพืช ซึ่งอาจมีผลต่อข้อสรุปนโยบาย

“แนวทางจำกัดไขมันอิ่มตัวที่ใช้อยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน ตั้งอยู่บนหลักฐานที่ไม่แข็งแรงพอ และควรถูกทบทวนอย่างจริงจัง” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว พร้อมระบุว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความเชื่อดั้งเดิมในระบบสาธารณสุข

นอกจากนี้ เขายังชี้ว่า น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว ซึ่งเป็นที่ใช้ในครัวไทยมาแต่โบราณ อาจไม่ได้เป็นอันตรายอย่างที่เคยเข้าใจ ในทางกลับกันน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันโอเมก้า-6 สูง เช่น ลิโนเลอิก อาจมีผลเสียต่อหลอดเลือดหัวใจ และมีรายงานทางวิทยาศาสตร์ (Science, 15 เมษายน 2568) ว่าเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเส้นทางสัญญาณ FABP5-mTORC1 ที่สัมพันธ์กับมะเร็งเต้านมชนิดร้ายแรง

โดยสรุป ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เห็นว่า “การบริโภคไขมันอิ่มตัวไม่ควรถูกเหมารวมว่าเป็นอันตราย” และแนวทางโภชนาการควรมุ่งเน้นอาหารโดยรวม ความสมดุลของสารอาหาร และพฤติกรรมสุขภาพมากกว่าการจำกัดสารอาหารชนิดเดียว.

อ่าน ข้อความฉบับเต็มจากเฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha”


กำลังโหลดความคิดเห็น