ปัญหาใหญ่ของการลดน้ำหนักแบบผิดวิธี หลายคนพยายามลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารอย่างหนัก การกินคีโต ออกกำลังกายอย่างหักโหม หรือใช้วิธีที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาลดน้ำหนักที่ไม่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมากกว่าเดิม เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “โยโย่เอฟเฟกต์ (Yo-Yo Effect)” ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อรูปร่าง แต่ยังทำลายสุขภาพในระยะยาว
แพทย์หญิงเปรมกมล ภัทรอิทธิกุล แพทย์ศัลยศาสตร์ผ่าตัดส่องกล้อง ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงสาเหตุของโยโย่เอฟเฟกต์ เกิดได้ดังนี้ การลดน้ำหนักที่เร็วเกินไปและไม่ยั่งยืน เมื่อร่างกายขาดพลังงานอย่างรุนแรง ระบบเผาผลาญจะชะลอตัวลง (Metabolic Adaptation) หรือกล้ามเนื้อลดลง ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง และน้ำหนักลดลงเร็วในช่วงแรก แต่กลับมาขึ้นใหม่เมื่อกลับไปกินตามปกติ
ต่อมาเรื่องของฮอร์โมนความหิวและการควบคุมความอยากอาหาร เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมน เลปติน (Leptin) ที่ควบคุมความอิ่มจะลดลง ฮอร์โมน เกรลิน (Ghrelin) จะกระตุ้นความหิวเพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น และผลลัพธ์คือเกิดอาการ “โหย” และกลับไปกินมากกว่าเดิม สุดท้ายเกิดจากพฤติกรรมโยโย่จากการลดน้ำหนักแบบผิดวิธี อย่างการอดอาหารทำให้ น้ำหนักลดระบบเผาผลาญช้าทำให้กลับมากินเยอะขึ้นส่งผลให้น้ำหนักขึ้นมากกว่าเดิม ก็จะวนลูปซ้ำ ๆ จนร่างกายสะสมไขมันง่ายขึ้นและลดน้ำหนักยากขึ้นกว่าเดิม
วิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้องและยั่งยืนนั้น คือการที่เราค่อย ๆ ลดน้ำหนักอย่างเป็นธรรมชาติ โดยตั้งเป้าหมายลดน้ำหนักประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ และหลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักทำให้ร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อแทนไขมัน และการปรับสมดุลพลังงานอย่างเหมาะสม เลือกทานอาหารที่ให้พลังงานเหมาะสมกับกิจกรรมและอัตราการเผาผลาญของร่างกาย และคำนวณ TDEE (Total Daily Energy Expenditure) และปรับพลังงานให้น้อยกว่าที่ใช้ 300-500 kcal ต่อวัน ในส่วนของอาหารแนะนำให้เน้นการกินอาหารที่มีประโยชน์ โปรตีนสูง: ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและเพิ่มการเผาผลาญ (เช่น เนื้อปลา ไข่ เต้าหู้) คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน: ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและลดความอยากอาหาร เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ไขมันดี: ช่วยให้ร่างกายอิ่มนาน เช่น อะโวคาโด ถั่ว น้ำมันมะกอก และการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เน้นเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) เพื่อรักษากล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราการเผาผลาญ คาร์ดิโอแบบพอดีๆ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เพื่อช่วยเผาผลาญไขมัน ท้ายสุดคือการสร้างพฤติกรรมที่ยั่งยืน ฝึกกินอาหารอย่างมีสติ (Mindful Eating) นอนหลับให้เพียงพอ เพราะการพักผ่อนมีผลต่อฮอร์โมนความหิว ลดความเครียด เพราะความเครียดส่งผลต่อพฤติกรรมการกินและการสะสมไขมัน
การลดน้ำหนักไม่ใช่แค่การลดตัวเลขบนเครื่องชั่ง แต่เป็นการสร้างสุขภาพที่ดีขึ้น การใช้วิธีลดน้ำหนักที่ผิดอาจนำไปสู่ “โยโย่เอฟเฟกต์” ทำให้ร่างกายสะสมไขมันง่ายขึ้นและทำให้สุขภาพแย่ลง ทางที่ดีที่สุดคือ การลดน้ำหนักแบบยั่งยืน โดยการปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย และสร้างสุขนิสัยที่ดีต่อสุขภาพ