xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ใช่แค่ "ไทย" ที่คุมเวลาขาย "น้ำเมา" พบ "นอร์เวย์" ประเทศเสรี ยังจำกัดเข้มกว่า WHO เตือนยิ่งเพิ่มเวลาขายยิ่งกระทบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไม่ใช่แค่ "ไทย" ที่คุมเวลาขาย "น้ำเมา" นักวิชาการชี้ทุกประเทศไม่ได้ปล่อยขายเสรี เหตุสินค้าทำอันตรายต่อสุขภาพ กระทบบุคคลอื่น ยก "นอร์เวย์" ประเทศเสรี ยังห้ามดื่มที่สาะารณะ ห้ามโฆษณาทุกรูปแบบ จันทร์-ศุกร์ขายแค่ 2 ทุ่ม เสาร์ปิด 6 โมงเย็น อาทิตย์งดขาย WHO ย้ำไทยยังต้องคง กม.ให้เข้ม ยิ่งเพิ่มเวลาขาย ความรุนแรงยิ่งเพิ่ม
ศ.เจเก้น รีม (Professor Jϋrgen Rehm) ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลกด้านแอลกอฮอล์ กล่าวในงานเสวนา “ครบรอบ 16 ปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กับสังคมไทย" ว่า ข้อมูลปี 2560 มีประเทศหนึ่งลดการจำหน่ายในวันอาทิตย์ จาก 14 ชั่วโมง เหลือ 5 ชั่วโมง ซื้อจากร้านกลับบ้านได้เฉพาะเวลา 10.00 - 15.00 น. ส่วนร้านอาหารยังซื้อได้ตามปกติ ทำให้มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ความรุนแรงลดลง สถิติการเข้าห้องฉุกเฉินใน รพ.ลดลง ขณะที่ข้อมูลในเมืองหนึ่งของอังกฤษพบว่า เมื่อเพิ่มเวลาเปิดบาร์ ทำให้มีความรุนแรงเพิ่ม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ความรุนแรงด้านต่างๆ จะเพิ่มขึ้น หรือลดลงขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลาที่ให้ขายแอลกอฮอล์ได้


ที่สำคัญองค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติ มีข้อแนะนำว่า การตัดสินใจเรื่องกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ควรปลอดจากอิทธิพลของภาคธุรกิจ ในส่วนของประเทศไทย การมี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งตอนที่ออกมาถือว่านำเทรนด์ และทำได้ดี ส่งผลให้จำนวนนักดื่มไม่ได้เพิ่มขึ้น เหมือนประเทศเพื่อนบ้านที่มีสัดส่วนนักดื่มมากกว่าไทยถึง 30% นี่คือความเข้มแข็งทางสภาพสังคมและนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮลอ์ของรัฐที่ตั้งไว้ หากมาตรการดังกล่าวตกลงไป การบริโภคก็จะเพิ่มสูงขึ้น

ศ.เจเก้น รีม กล่าวว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนและสังคม การควบคุมการขาย การโฆษณา ประกอบกับมาตรการทางภาษี จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมทางด้านสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นการอ้างเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจจากธุรกิจแอลกอฮอล์จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะภาพที่แท้จริงมีความซับซ้อนมากกว่านั้น หากมีการผ่อนปรนการควบคุมมากเกินไปก็จะส่งผลเสีย และที่สำคัญคือการให้ซื้อแอลกอฮอล์ได้ตอนตีสี่ครึ่ง ไม่ใช่สิทธิมนุษยชน และไม่ใช่เสรีภาพ แต่สิทธิที่ควรมีการพูดถึงคือการปกป้องชีวิตของทุกคนจากปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ที่อายุไม่เกิน 20 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนา จึงมีโอกาสได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค่อนข้างมาก สังคมจึงต้องร่วมกันปกป้องโดยมีกฎหมาย หรือมาตรการควบคุมการสื่อสารการตลาด การโฆษณา โดยเฉพาะทางโซเชียลมีเดียเข้าถึงกลุ่มเยาวชน


ผศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การที่ทุกประเทศไม่ปล่อยให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถขายได้อย่างเสรี เพราะมองว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่สินค้าทั่วไป แต่เป็นสินค้าที่คนขายพอขายไปแล้วมีรายได้เขาก็จบ แต่หลังจากนั้นกลับทำให้คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ผลกระทบภายนอกทางลบ จากการที่คนเมาแล้วขับบางคนเสียชีวิต บางคนต้องพิการ ส่งผลทำให้ผลิตภาพแรงงานลดลง อาชญากรรมสูงขึ้น ต้นทุนทางการแพทย์สูงขึ้น และการที่คนดื่มอ้างว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของเขาที่จะดื่ม แม้ว่าจะอายุสั้น แต่ที่จริงไม่ได้ส่งผลแค่ตัวเอง แต่ส่งผลถึงบุคคลที่สามด้วย เช่น หากคุณตายเร็ว ประเทศก็สูญเสียกำลังแรงงาน หรือหากคนเป็นครูบาอาจารย์ถึงจะอื่มเมาคนเดียว แต่พอตื่นมาเกิดอาการแฮงค์ ก็ส่งผลต่อคุณภาพการสอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็เสียประโยชน์ที่จะได้รับการสอนที่มีคุณภาพด้วย

ดังนั้นในมิติทางเศรษฐศาสตร์ รัฐบาลทุกประเทศจึงต้องควบคุมให้เสรีไม่ได้ หากปล่อยเสรีจะทำให้การบริโภคของคนจะสูงกว่าระดับที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นรัฐต้องควบคุม เก็บภาษีให้สูง ต้องมีกฎหมาย ให้มีหลายมาตรการควบคู่กัน เพื่อให้มั่นใจว่าการบริโภคของประชาชนจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม และมีประสิทธิผล


ผศ.ดร.ชิดตะวัน กล่าวว่า อย่าง "นอร์เวย์" ทั้งที่เขาเป็นประเทศเสรี แต่ก็ห้ามดื่มที่สาธารณะ ห้ามโฆษณาทุกแบบ เก็บภาษีสูงมาก มีการควบคุมการขาย โดยวันจันทร์-ศุกร์ ให้ขายถึง 2 ทุ่ม วันเสาร์ ปิดหกโมงเย็น ส่วนอาทิตย์งดจำหน่าย และวันหยุด โดยเฉพาะวันหยุดสำคัญทางศาสนา จะเข้มงวดมาก ซึ่งมาตรการเหล่านี้นี้เริ่มตั้งแต่ปี 1900 ขณะที่การควบคุมของไทยเริ่ม 2475 แล้วมาบอกว่าล้าหลัง จริงๆ ที่นอร์เวย์ก็มีคนอยากเปลี่ยนแปลง แต่น่าชื่นชมนักการเมืองส่วนใหญ่ของเขา และประชาชนบอกว่าไม่ได้ เพราะถ้าผ่อนคลายมากขึ้น จะทำให้นอร์เวย์ซึ่งมีจีดีพีต่อหัวสูง ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศที่พัฒนาทางเศษฐกิจดี ก็จะไม่เป็นแบบนี้อีก เพราะก่อนที่เขาจะควบคุม ประชาชนเป็นโรคจากการบริโภคสุราเยอะ พอควบคุมแล้วตอนนี้สังคมสงบ คนมีความสุข แล้วจะเปลี่ยนทำไม

“ในฐานะที่เราเป็นนักเศรษฐศาสตร์ และไปเรียนต่างประเทศมาก็มองว่า บางเรื่องถ้ามันดีอยู่แล้ว ต่อให้จะทำมานานแค่ไหน ก็ไม่ได้เป็นการล้าหลังอะไร ของดีก็ต้องรักษาไว้ ของไม่ดีก็ต้องเลิก อะไรที่ดีอยู่แล้วคงแปลกที่เราจะไปเลิกมัน” ผศ.ดร.ชิดตะวัน กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น