เครือข่ายป้องกันภัยแอลกอฮอล์ ชี้เสนอนำร่องขยายเปิดผับบาร์ถึงตี 4 ใน 3 จังหวัด เป็นกลุ่มหน้าเดิมที่หวังกอบโกย เตือนสติรัฐบาลดูแลท่องเที่ยวในชุมชน เหตุ นทท.อยากมาเที่ยวธรรมชาติมากกว่าดื่มเมา ห่วงกระทบความปลอดภัย สวนทางกฎหมายห้ามจำหน่ายคนมึนเมา ครองสติไม่ได้
วันนี้ (13 ต.ค.) นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีภาคธุรกิจเตรียมเสนอให้นำร่องกำหนดโซนเปิดผับบาร์ถึงตี 4 ใน 3 จังหวัด คือ กทม. เชียงใหม่ และ ภูเก็ต ว่า ความพยายามผลักดันนี้ เกิดขึ้นจากคนกลุ่มเดิมที่เดินหน้าเรื่องนี้มาในทุกรัฐบาล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ แต่สำคัญของเรื่องนี้ คือ ได้คุ้มเสียหรือไม่ รวมถึงเรื่องระบบขนส่งของประเทศมีความพร้อมรองรับเรื่องนี้แล้วหรือยัง โดยเฉพาะผู้ที่เมาแล้วขับรถ และการบังคับใช้กฎหมาย เก็บส่วยก็ยังมีเต็มไปหมด ดังนั้น ถ้ายังไม่จัดการเรื่องเหล่านี้ก่อน แล้วขยายเวลาเปิดผับบาร์ออกไป ปัญหาต่างๆ ก็ยิ่งไปกันใหญ่
“ข้อมูลช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงจะอยู่ระหว่าง 21.00-03.00 น. ซึ่งสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่ขายแอลกอฮอล์ จากนั้นคนก็ขับรถ ฉะนั้น การขยายเวลาเปิดผับบาร์ ก็เท่ากับขยายเวลาการเมา ทั้งที่ไทยมีกฎหมายห้ามจำหน่ายแอลกอฮอล์ให้กับผู้ที่อยู่ในภาวะมึนเมา ไม่สามารถครองสติได้ จึงเท่ากับรัฐกำลังส่งเสริมสิ่งที่ขัดแย้งกับกฎหมายของประเทศ” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวว่า สิ่งที่เราต้องคิดมากกว่านั้น คือ ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวที่มาเสียชีวิตในไทยด้วยเหตุต่างๆ กว่า 400 คนต่อปี ดังนั้น ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ต้องขบคิดมากกว่าเรื่องการขยายผับบาร์ งานวิจัยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปี 2563 พบว่า นักท่องเที่ยวสนใจเข้าไทย เพื่อมาท่องเที่ยวด้านธรรมชาติเป็นอันดับต้นๆ ส่วนเรื่องกินดื่ม สถานบันเทิงอยู่อันดับท้ายๆ สอดคล้องกับความพึงพอใจด้านร้านอาหารต่างๆ อยู่ที่ 85% ซึ่งถือว่าระดับสูงอยู่แล้ว ดังนั้น เราจะต้องทำให้นักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยและการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับคนกลุ่มเล็กในชุมชน ไม่ใช่ให้นายทุนผับบาร์กอบโกย อย่างนักท่องเที่ยวไปกินดื่มยันตี 4 จริง ตื่นมาก็ไปเที่ยวไม่ได้แล้ว คำถามคือ รายเล็กรายน้อยจะได้ประโยชน์ได้อย่างไร
“คนไทยมีคนดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 10-13 ล้านคน ยังมีอีกหลายสิบล้านคนที่ไม่ดื่ม รวมทั้งนักท่องเที่ยวด้วย รัฐบาลจะต้องดูแลคนส่วนนี้ด้วย ฉะนั้น หากเอาเรื่องการจับจ่ายด้านผับบาร์ในที่สุดแล้ว กลุ่มทุนจะได้ประโยชน์ สังคมจะเสียหาย หากจะมีการทำเรื่องนี้จริง รัฐบาลจะต้องการันตีว่าเมื่อผ่านไป 2-3 ปี มีผลกระทบมาแล้วใครจะรับผิดชอบ ผมทำงานกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ อยู่กับคนที่เป็นเหยื่อ ดังนั้น จุดยืนเรื่องนี้ผมชัดเจน” นายชูวิทย์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากมีการผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง จะทำอย่างไรต่อ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนคิดว่า รัฐบาลจะทำเรื่องนี้ต้องรอบคอบ โดยเฉพาะสายสาธารณสุข นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ดูเหมือนยังแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่เห็นด้วยทั้งหมด ดังนั้น ตนและเครือข่ายอาจจะหาโอกาสไปเข้าพบ นอกจากนี้ หากจะทำเรื่องนี้จริงๆ ต้องเชิญทุกฝ่ายมาหาจุดตรงกลางกันให้ได้ พวกเราไม่ใช่จะไม่ยอมอย่างเดียว แต่ต้องเอาความจริงมากางหน้ากระดาน อย่าหูเบาฟังคนบางกลุ่มที่มาเรียกร้องเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ เพราะ 1 ชีวิตที่สูญเสียเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่คุณค่าว่ามาเที่ยวไทยเพื่อมาเมากัน