กรมอนามัย เตือนพ่อแม่งดเลี้ยงลูกเล็กต่ำกว่า 2 ขวบ ด้วย“หน้าจอ” ส่งผลสายตาผิดปกติ เผยผลคัดกรอง ป.1 เจอสายตาสั้น เอียง ผิดปกติ 8 พัน - 1 หมื่นกว่าคนต่อปี ซ้ำส่งผลให้พัฒนาการช้า 4 ด้าน ทั้งการสื่อสาร พูดช้า ไม่ชัด ด้านร่างกาย ไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย ด้านอารมณ์ หงุดหงิด ใจร้อน และด้านพฤติกรรม ทำก้าวร้าว ซน คล้ายออทิสติก
วันนี้ (13 ต.ค.) พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 2 ของ ต.ค. เป็นวันสายตาโลก (World Sight Day) ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อต้องการกระตุ้นให้ประชากรทั่วโลก ตื่นตัวกับการรณรงค์ป้องกันและฟื้นฟู การตาบอด การมองเห็นเลือนลาง รวมถึงปัญหาอื่นๆ ทางสายตา กรมอนามัยห่วงใยเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี เนื่องจากพ่อแม่ ผู้ปกครองมักปล่อยให้ลูกอยู่กับสื่อเทคโนโลยี เช่น มือถือ แท็บเล็ต หรือให้ดูโทรทัศน์ทั้งวัน เพื่อไม่ให้ลูกดื้อ ซน ร้องไห้ ซึ่งจะส่งผลเสียตามมา โดยเฉพาะเรื่องพัฒนาการช้า ปัญหาด้านการสื่อสาร รวมทั้งปัญหาด้านสายตาในอนาคต ที่ผ่านมา กรมอนามัยจึงขับเคลื่อนโครงการเด็กไทยสายตาดี ตั้งแต่ปี 2559 ร่วมกับกรมการแพทย์ คณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาตา ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย สปสช. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ กทม. ตั้งเป้าหมายให้เด็กนักเรียนชั้น ป.1 ได้รับการตรวจคัดกรองสายตาโดยครูประจำชั้น และยืนยันโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หากสงสัยสายตาผิดปกติส่งต่อ รพ.ที่มีจักษุแพทย์ตรวจวินิจฉัยและได้รับแว่นตา โดยปี 2559 คัดกรองพบสายตาผิดปกติ 11,000 คน ปี 2560 พบ 8,687 คน และในปี 2561 พบ 9,976 คน ส่วนใหญ่เป็นสายตาสั้น และสายตาเอียง
ทั้งนี้ ย้ำว่า เด็กแรกเกิดถึง 3 ปี เป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุด ในการเรียนรู้ เนื่องจากสมองของเด็กจะพัฒนาสูงสุดซึ่งมีสิ่งแวดล้อมโดยรอบจะเป็นตัวกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสมองในช่วงต้น หากปล่อยให้เด็กใกล้ชิดสื่อเหล่านี้มากเกินไปโดยไม่กำหนดเวลาดูหรือเลือกสื่อ ที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลเสียหลายด้าน คือ 1. ด้านการสื่อสาร พูดช้า พูดไม่ชัด ขาดความคิดสร้างสรรค์ และ การจ้องมองจอภาพเป็นเวลานานจะส่งผลเสียกับดวงตาได้ เช่น ทำให้สายตาสั้น ดวงตาแห้ง 2. ด้านร่างกาย จะไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย ขาดการเคลื่อนไหว ออกกำลังกายตามที่ควรจะเป็นหรืออาจส่งผลให้เป็นเด็กขี้เกียจได้ 3. ด้านอารมณ์ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เพราะเด็กแยกแยะโลกของอินเทอร์เน็ตกับความจริงไม่ได้ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน รอคอยไม่เป็น เด็กขาดสมาธิไม่จดจ่อหรือตั้งใจทำกิจกรรมใด และ 4. ด้านพฤติกรรม จะก้าวร้าว ซน สมาธิสั้น มีพฤติกรรมคล้ายออทิสติกดื้อ ต่อต้าน โลกส่วนตัวสูง
“ขอแนะนำให้จำกัดเวลาในการใช้สื่อเทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ให้หลีกเลี่ยงการใช้สื่อมีจอทุกชนิด (ยกเว้นวิดีโอแชต) ส่วนเด็กอายุ 2-5 ปี ให้จำกัดเวลาการใช้จอ ไม่ควรเกินวันละ 1 ชั่วโมง และควรเลือกโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันที่มีคุณภาพให้เหมาะสมกับวัย พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กควรหลีกเลี่ยงการใช้สื่อมีจอเพื่อให้เด็กสงบนิ่ง หรือหยุดร้องไห้ และหันมาใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันในครอบครัว เพราะพัฒนาการที่ดีของเด็กๆ เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่ได้เรียนรู้ร่วมกัน พาลูกเล่น เรียนรู้ และโอบกอดแสดงความรักระหว่างกันในครอบครัว เพื่อส่งเสริมให้พัฒนาการต่างๆ ของเด็กดีขึ้น” พญ.อัจฉรา กล่าว