สถาบันโภชนาการ ม.มหิดล วิจัยสารสกัด "เมล็ดงาม้อน" มีสารต้านอนุมูลอิสระและโอเมกา 3 ชนิด ทดสอบในหนูที่เหนี่ยวนำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบช่วยลดการอักเสบ ปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ สร้างความแข็งแรงของผนังลำไส้ ป้องกันการเกิดก้อนเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ก่อนพัฒนาเป็นมะเร็ง ชูอาจเป็นพืชเศรษฐกิจอีกตัว
เมื่อวันที่ 16 ก.ย. รศ.ดร.เอกราช เกตวัลห์ รอง ผอ.ฝ่ายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และหัวหน้าโครงการทดสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์น้ำมันสกัดจากเมล็ดงาม้อนในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เกิดลำไส้อักเสบในหนูทดลอง กล่าวว่า งานวิจัยดังกล่าวได้รับการสนับสนุนทุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. โดยที่มาของงานวิจัยเกิดจากการตระหนักถึงสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งทำให้ประชากรไทยและทั่วโลกเสียชีวิตในอันดับต้นๆ สาเหตุสำคัญเกิดจาก "ท้องผูกเรื้อรัง" ทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้จนเกิดการเปลี่ยนสภาพ ส่งผลให้แบคทีเรียที่เกาะติดผนังลำไส้ขาดสมดุล เกิดเนื้องอก จนกลายเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
รศ.ดร.เอกราชกล่าวว่า สำหรับเมล็ดงาม้อน (Perilla seed) ในแวดวงอาหาร ปัจจุบันนิยมใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญของ "ซูเปอร์ฟู้ด" (Superfood) เพื่อสุขภาพที่หลากหลาย เพราะมีสารสำคัญซึ่งอุดมไปด้วยกรดไขมันที่ช่วยบำรุงสมอง และต้านอนุมูลอิสระ โดยผลิตภัณฑ์น้ำมันเมล็ดงาม้อนสกัดด้วยกรรมวิธีสกัดเย็นจากโครงการวิจัย เมื่อนำไปทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า น้ำมันสกัดจากเมล็ดงาม้อนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากสารสำคัญต่างๆ เช่น โทโคเฟอรอล , โพลีฟีนอล และอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมกา 3 ชนิด ได้แก่ 3, 6 และ 9 ในสัดส่วนที่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอเมกา 3 ที่มีสูงที่สุดในแหล่งที่มาจากพืช ซึ่งเมื่อนำมาทดสอบกับหนูทดลองที่ได้รับการเหนี่ยวนำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่พบว่าสามารถลดการอักเสบ ปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ เสริมสร้างความแข็งแรงของผนังลำไส้ ป้องกันการเกิดก้อนเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ ก่อนพัฒนากลายเป็นมะเร็ง
สำหรับแนวทางการพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ นอกจากประโยชน์ทางการแพทย์แล้ว ยังส่งผลดีต่อภาคเกษตรของชาติ เนื่องจากงาม้อนมากด้วยคุณประโยชน์ จึงอาจทำให้เกิดความยั่งยืนด้วยการพัฒนาสู่การเป็น "พืชเศรษฐกิจ" ที่สำคัญของประเทศได้ต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งปลูกงาม้อนได้ผลดี คาดว่าในอีกประมาณ 1 – 2 ปีข้างหน้า จะได้ร่วมกับภาคเอกชนพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท "น้ำมันแคปซูล" และยังได้มองไปถึงการพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์อาหารประเภทอื่นๆ ให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพอีก อาทิ "ครีมสลัดผสมน้ำมันสกัดงาม้อน" เป็นต้น ส่วนวิธีบริโภคงาม้อนให้ได้ประโยชน์ หากอยู่ในรูปของ "เมล็ด" จะมีโปรตีนและแร่ธาตุเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย สามารถบริโภคเพื่อสุขภาพประมาณ 3 - 5 ช้อนโต๊ะต่อวัน แต่หากอยู่ในรูปของ "น้ำมัน" ควรรับประทานประมาณ 2 - 3 ช้อนโต๊ะต่อวันเป็นปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรรับประมาณมากเกินไป เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของไขมันและพลังงานเช่นเดียวกับน้ำมันชนิดอื่นๆ