สสส.หารือ WHO และนานาชาติ แลกเปลี่ยนแนวทางควบคุม "น้ำเมา" ย้ำห้ามขายเด็กเยาวชน ห้ามขายในเวลา ขึ้นภาษี ห้ามโฆษณา มีผลช่วยลดการดื่มระดับอันตราย ชูขับเคลื่อนผ่านงาน 3 ด้าน ทั้งนโยบาย วิชาการ และสังคม
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวภายหลังหารือร่วมกับผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) สำนักงานใหญ่ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายแอลกอฮอล์ และผู้แทนจากเนปาล ศรีลังกา ติมอร์เลสเต ภูฏาน ถึงการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพและควบคุมผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนร่วมกันของนานาชาติในการลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับที่เป็นอันตราย และบรรเทาผลกระทบที่มีผลต่อสุขภาพจากแอลกอฮอล์ ผ่านมาตรการสำคัญด้านการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาทิ การห้ามขายให้เด็กเยาวชน การห้ามขายในเวลาที่กำหนด การขึ้นภาษีสรรพสามิต การห้ามโฆษณา อันเป็นแนวทางที่มาจากองค์ความรู้และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เสนอแนะโดยองค์การอนามัยโลกต่อประเทศสมาชิกทั่วโลก โดยมีบทเรียนส่วนหนึ่งจากการทำงานที่ผ่านมา สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่ายภายใต้นวัตกรรมการเงินการคลังเพื่อสุขภาพที่นำส่วนภาษีสรรพสามิตเพิ่มจากสุรามาดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพในประชากรรวมถึงการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยผู้แทนจากหลายประเทศได้นำสถานการณ์และบริบทของประเทศตนเองมาร่างแนวปฏิบัติการ และแลกเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆในการแก้ปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศตน
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผอ.สำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สสส. กล่าวว่า ได้นำเสนอต่อที่ประชุมว่า สสส. ทำตามยุทธศาสตร์ไตรพลัง ได้แก่ 1.พลังนโยบาย สนับสนุนผ่านกรมควบคุมโรค ให้เกิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 2.พลังปัญญา สนับสนุนการจัดตั้งและดำเนินงานผ่านศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และ 3.พลังสังคม สนับสนุนการทำงานภาคประชาสังคมที่หลากหลาย เพื่อร่วมสานพลังเครือข่ายทุกภาคส่วนในการผลักดันนโยบายและการปรับเปลี่ยนค่านิยมของสังคม ผ่านการรณรงค์ในระดับพื้นที่ ส่งเสริมให้คนลด ละ เลิกการดื่มสุรา สร้างการรับรู้ให้กับสังคมถึงเจตนารมณ์ให้ตระหนักความสำคัญของกฎหมาย นอกจากนี้ สสส. ยังได้ปรับสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเป็นสังคมที่ปลอดภัยจากการดื่ม เช่น ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมสู่งานบุญประเพณีปลอดเหล้า ทั้งสงกรานต์ ปีใหม่ แข่งเรือ งดเหล้าเข้าพรรษา ฯลฯ ทำให้เกิดกระแสรณรงค์อย่างต่อเนื่องตลอด 2 ทศวรรษ มีผู้ร่วมลด ละ เลิกช่วง “งดเหล้าเข้าพรรษา” อย่างน้อย 30% สนับสนุนเครือข่ายภาคสังคมเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมาย ทำให้พฤติกรรมการดื่มหนักของคนไทยมีแนวโน้มดีขึ้น สะท้อนจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ อัตราการดื่มในระดับอันตรายลดลงจากร้อยละ 13.94 ในปี 2557 เหลือเพียงร้อยละ 10.05 ในปี 2564
ด้าน ศ.ดร. แซลลี คาสเวลล์ ผู้เชี่ยวชาญและประธานเครือข่ายนโยบายแอลกอฮอล์ระดับโลก (Global Alcohol Policy Alliance) กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิชาการ และประสบการณ์เรื่องการควบคุมแอลกอฮอล์ที่สำคัญของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลกระทบต่อสุขภาพนำมาสู่โรคไม่ติดต่อที่เป็นปัญหาวิกฤติของประชากรโลกที่สหประชาชาติได้ประกาศเป็นวาระโลกที่สำคัญ โดย สสส. เป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคทั้งในประเทศไทยและในระดับนานาชาติให้มีความเข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพ