“หมอปัตพงษ์” เผยผู้เสียประโยชน์ยังใส่ร้ายป้ายสีกัญชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำกลับไปเป็นยาเสพติด สกัดกั้นไม่ให้ประชาชนพึ่งตนเองด้านการรักษาโรค หากทำสำเร็จประชาชนต้องเตรียมเงินไว้เป็นค่าประกันตัว 10,000 ถึง 100,000 บาท คนไทยทุกคนควรปกป้องสิทธิในการปลูกกัญชาของตนอย่างเข้มแข็ง อย่าให้ใครมาปล้นไปอีก
รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ หน่วยเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เขียนบทความเรื่อง "ประชาชนคนไทยทุกคน ควรปกป้องสิทธิในการปลูกกัญชาของตน" มีเนื้อหาระบุว่า อิทธิพลของการใส่ร้ายป้ายสีและด้อยค่ากัญชา ที่เริ่มมาตั้งแต่เมื่อ 80 กว่าปีก่อนจนถึงปัจจุบัน ทำให้บางคนหลงเชื่อและออกมาต่อต้านกัญชา จนกระทั่งเมื่อตนเองหรือญาติเจ็บป่วยรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต้องทุกข์ทรมาน เมื่อมาใช้กัญชาแล้วดีขึ้น ถึงได้รู้ว่าตนถูกหลอก จึงสำนึกผิด และหันกลับมาเป็นผู้สนับสนุนกัญชาอย่างเต็มตัว ประชาชนคนไทยทุกคน ควรปกป้องสิทธิ์ในการปลูกกัญชาของตนอย่างเข้มแข็ง อย่าให้ใครมาปล้นไปอีก
รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ ให้ข้อมูลว่า กัญชารับใช้มวลมนุษยชาติมาไม่ต่ำกว่า 10,000 ปี หลักฐานจากหลุมฝังศพของหญิงชาวจีนเมื่อหลายพันปีก่อน พบห่อกัญชาข้างกายผู้ป่วยโรคมะเร็ง บันทึกของจักรพรรดิเซ็นเน็ง ของจีน เมื่อ 4,000 ปีก่อน ระบุกัญชารักษาโรคได้มากกว่า 100 โรค นอกจากนี้ ยังมีบันทึกสรรพคุณของกัญชาในตำรายาอียิปต์โบราณ เมื่อ 2,500 ปีก่อน ตำรายาของไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อ 360 ปีก่อน มีกัญชาเป็นส่วนผสมมากกว่า 90 ตำรับ อังกฤษและอเมริกาใช้กัญชารักษาโรคมาตั้งแต่ 200 ปีก่อน ยากัญชาวางจำหน่ายทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ บริษัทยาดังๆ ในปัจจุบัน ตอนนั้นก็ขายยากัญชา และตำราแพทย์แผนปัจจุบันเล่มแรกของสหรัฐ กล่าวถึงสรรพคุณกัญชาไว้หลายตอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อประมาณ 80 กว่าปีมาแล้ว กลุ่มผู้มีอิทธิพลในสหรัฐมุ่งขจัดกัญชา เพราะเป็นคู่แข่งสำคัญของสินค้าปิโตรเคมี เริ่มจากการส่งญาติของตนชื่อ นายแฮรี่ แอนสลิงเกอร์ ไปดูแลงานด้านยาเสพติด เปลี่ยนชื่อกัญชาจากเดิม คือ แคนาบีส หรือ เฮมพ์ กลายมาเป็น มารีฮวนน่า เพื่อทำให้คนรู้สึกว่าเป็นของคนส่วนน้อยชาวละตินอเมริกา และคนอเมริกันก็เหยียดผิวอยู่แล้ว
มีการสร้างภาพยนตร์ เรื่อง รีฟเฟอร์แมดเนส (กัญชาทำให้บ้า) และใช้สื่อต่างๆ ตอกย้ำบ่อยๆ กล่าวหากัญชาว่า เป็นยาเสพติด ทำลายสมอง ทำให้คุ้มคลั่ง เป็นโรคจิต ก่ออาชญากรรม โดดตึกฆ่าตัวตาย ฆ่าตัดคอ คนผิวดำเสพกัญชาแล้วไปข่มขืนเด็กผู้หญิงผิวขาว กัญชาทำลายสมองเยาวชน ฯลฯ
พอคนหลงเชื่อ รัฐบาลกลางก็ออกกฎหมายจัดให้กัญชาเป็นยาเสพติด ที่มีอันตรายร้ายแรงที่สุด เทียบเท่าเฮโรอีน ห้ามปลูก ห้ามใช้ ถอนชื่อกัญชาออกจากตำรับเภสัช จับเอาคนที่ฝ่าฝืนไปขังคุกจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ก่ออาชญากรรมใดๆ ตอนนั้นสมาคมแพทย์อเมริกันพยายามคัดค้านแต่ไม่สำเร็จ
เมื่อทำสำเร็จที่สหรัฐ นายแฮรี่ แอนสลิงเกอร์ ก็รุกคืบต่อไปที่สหประชาชาติ ใช้กระบวนการล็อบบี้อย่างหนัก ให้ทุกประเทศยอมรับมติ จัดให้กัญชาเป็นยาเสพติด เมื่อ 61 ปีมาแล้ว ผู้ป่วยและหมอพื้นบ้านที่ใช้กัญชารักษาโรคอยู่จึงได้รับผลกระทบไปทั่วโลก
แม้ว่าในปัจจุบันหลายมลรัฐของสหรัฐและในอีกหลายประเทศ มีการแก้กฎหมายให้ใช้กัญชารักษาโรคได้แล้วแต่ยังคงมีการสร้างข้อมูลเท็จ ใช้ข้อมูลที่มีอคติมาโจมตีกัญชาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำอยู่บ่อยๆ เพื่อทำให้แพทย์และประชาชนกลัวและไม่กล้าใช้กัญชารักษาโรค
รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ ยกตัวอย่างเหยื่อคนหนึ่งที่ถูกหลอก คือนายด๊อก เบนช์ (Doug Bench) อดีตผู้พิพากษา แห่งมลรัฐฟอริดา เคยพิพากษาคดีกัญชา ตัดสินจำคุกคนไปมากกว่า 300 คน ต่อมาตนเองป่วยหนัก ด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังขั้นสุดท้าย เพราะเคยสูบบุหรี่จัดสมัยเป็นหนุ่ม รักษาแบบแผนปัจจุบันก็ไม่ดีขึ้น หมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่เกิน 2 ปี ภรรยาไปหายากัญชามาจากมลรัฐโคโลราโดมาให้ เขาก็ไม่ยอมใช้ เพราะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ขัดกับอาชีพของตน และคิดว่าเป็นสิ่งอันตราย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมใช้เพราะภรรยาขู่ว่าถ้าไม่ยอม เธอจะทิ้งเขาไป
หลังจากใช้กัญชารักษา เขามีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จนแพทย์ประจำตัวเขา ประหลาดใจมากว่า ทำไมเขายังไม่ตาย นายด๊อก เบนช์ ได้สุขภาพที่ดีกลับคืนมา และรอดชีวิตจากโรคร้าย เขาและภรรยาจึงเป็นผู้นำในการเคลื่อนไหวให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน และผลักดันให้มลรัฐฟอริดาแก้กฎหมายยาเสพติดจนสำเร็จ ปัจจุบันเขาจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกัญชาให้แก่ประชาชนที่เจ็บป่วยอย่างต่อเนื่อง เขาสารภาพว่า เพื่อเป็นการ “ไถ่บาป” ที่เคยพิพากษาตัดสินคดี เอาคนที่เจ็บป่วยเอาไปขังคุกจำนวนมาก
รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ กล่าวอีกว่า ผู้ที่เสียประโยชน์ยังคงความพยายามใส่ร้ายป้ายสีกัญชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนพึ่งตนเอง พยายามทำลายชื่อเสียงกัญชา โดยการเอากัญชาสังเคราะห์อันตรายมาขาย และเอายาฆ่าหญ้า เช่น พาราควอต ไปฉีดใส่กัญชาธรรมชาติ การปลูกกัญชาไว้ใช้เองจึงจะช่วยป้องกันอันตรายดังกล่าวได้แต่ถ้าเขาทำให้กัญชาถูกจัดให้เป็นยาเสพติดได้สำเร็จอย่างที่ประกาศไว้จริง ก็ให้ประชาชนเตรียมเงินไว้เป็นค่าประกันตัวไว้เลย เวลาถูกตำรวจจับกุม ข้อหาครอบครองกัญชา ต้องจ่ายค่าประกันตัว 10,000 ถึง 100,000 บาท ข้อหาจำหน่ายกัญชาต้องจ่ายค่าประกันตัวตั้งแต่ 300,000 บาทขึ้นไป
รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า กัญชามีประโยชน์มากมายมหาศาลในการป้องกันและรักษาโรค การโจมตีกัญชาเพื่อจัดให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เป็นบาปกรรมหนัก ประชาชนคนไทยทุกคน ควรปกป้องสิทธิในการปลูกกัญชาของตนอย่างเข้มแข็ง อย่าให้ใครมาปล้นไปอีก เพราะนี่จะเป็นการปล้นทั้งเงินและปล้นสุขภาพของเราไป