สปสช.เขต 13 กทม. เผย "บัตรทอง" รักษาปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศช่วง 3 เดือนยังไม่มีร้องเรียน ระบุ กทม.นำร่องมาตั้งแต่ปี 64 รักษาข้ามเขต เมื่อขยายบริการ ทำให้กลุ่มปริมณฑลเข้ามาทำงานใน กทม.เข้าถึงการรักษาได้ ยังไม่พบพฤติกรรมชอปปิ้งรับบริการไปทั่ว แต่ต้องติดตามหลังพ้นระบาด "โควิด"
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์ ผอ.สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 13 กทม. กล่าวถึงความคืบหน้านโยบายบัตรทองรักษาหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมาเป็นของขวัญปีใหม่ 2565 ว่า นโยบายนี้เป็นการทลายกำแพงการเข้าถึงบริการ ทำให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองที่ไปทำธุระ ท่องเที่ยว หรือทำงานต่างพื้นที่แล้วมีเหตุจำเป็นต้องรักษาพยาบาล เช่น เจ็บป่วยกะทันหัน ต้องกินยาต่อเนื่องแล้วยาหมด หรือปวดฟัน เหงือกบวม ต้องพบทันตแพทย์ ฯลฯ สามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิเครือข่ายของ สปสช.ได้ ไม่ต้องมีใบส่งตัวหรือกลับไปรับบริการในพื้นที่ที่ลงทะเบียน
ส่วนพื้นที่ กทม.เปิดให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองรับบริการหน่วยบริการปฐมภูมิข้ามเขตได้ตั้งแต่ปี 2564 เนื่องจากช่วงปี 2563 มีการยกเลิกสัญญาหน่วยบริการที่มีความผิดปกติในการเบิกจ่ายเงินค่าบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค จึงให้ผู้ที่ถูกยกเลิกหน่วยบริการประจำไปรับบริการที่ไหนก็ได้ จึงถือโอกาสจัดระบบใหม่ และเมื่อปีใหม่ 2565 มีนโยบายนี้ จึงเป็นการขยายขอบเขตให้สามารถไปรับบริการข้ามเขตสุขภาพได้ หรือตามรอยต่อ กทม.และปริมณฑลที่มักเข้ามาทำงานใน กทม เช้านั่งรถมาทำงาน เย็นนั่งรถกลับ กว่าจะถึงบ้านก็มืด รพ.สต.ปิดแล้ว ก็เข้ารับบริการใน กทม.ได้ ขณะนี้เริ่มมาได้ 3 เดือน อยู่ระหว่างเก็บข้อมูล ปัจจุบันยังไม่มีการร้องเรียนใดๆ
"ส่วนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับบริการ สปสช.เขต 13 ได้จัดทำตัวชี้วัดเพื่อดูว่ามีโอกาสที่คนไข้จะไป shopping around หรือรับบริการไปทั่ว ไปคลินิกนั้นคลินิกนี้หรือไม่ พบว่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนยกเลิกสัญญากับหน่วยบริการในปี 2563 ไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในการรับบริการนอกเครือข่ายหน่วยบริการหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม รพ.ใหญ่ๆ ก็ไม่ได้มีคนไปรับบริการมากขนาดนั้น แต่ต้องติดตามระยะยาว เนื่องจาก 2 ปีมานี้เกิดการระบาดของโควิด ทำให้ไม่เห็นภาพการไปรับบริการในสถานการณ์ปกติ ต้องดูว่าเมื่อการระบาดสงบลง ทิศทางพฤติกรรมการรับบริการจะเป็นอย่างไร" ทพ.วิรัตน์กล่าว
