เครือข่ายแพทย์ฯ หนุน“อนุทิน” ประกาศจุดยืนห้ามนำเข้า-ขาย “บุหรี่ไฟฟ้า” ยื่นจดหมายถึงนายกฯ และ ครม. เร่งปราบปรามจริงจัง ป้องกันธุรกิจวิ่งเต้นล็อบบี้ล้ม กม. ชี้ละเมิด ม.5.3 อนุสัญญาฯ ย้ำ หลายประเทศเปิดขาย อัตราสูบในเด็กพุ่งสูง
เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา สมาพันธ์ฯ ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทุกท่าน เพื่อให้ข้อมูลสนับสนุนการห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในไทย ใจความสำคัญคือ ขณะนี้มีบทเรียนจากหลายประเทศที่ไม่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ต้องประสบปัญหาอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชนเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง จนเป็นสาเหตุให้ประเทศต่างๆ ออกกฎหมายห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันตามรายงานขององค์การอนามัยโลกมีประเทศที่ห้ามบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว 32 ประเทศ
“ขอชื่นชม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ประกาศจุดยืนชัดเจนที่เลือกข้างสุขภาพ ไม่สนับสนุนการเปิดตลาดบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ สังคมไทยจะก้าวไปสู่สังคมปลอดบุหรี่ไม่ได้เลย ถ้าอนุญาตให้เปิดตลาดบุหรี่ไฟฟ้า เพราะบุหรี่ไฟฟ้าแท้จริง ก็คือ บุหรี่รูปแบบหนึ่ง” ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี กล่าว
ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี อดีตนายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีเครือข่ายสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าที่มีความสัมพันธ์กับอุตสาหกรรมยาสูบกำลังล็อบบี้และส่งเสียงผ่านโซเชียลมีเดีย ผ่านนักการเมือง รัฐมนตรี กรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายห้ามขาย ห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ก็เพื่อประโยชน์ในเชิงธุรกิจ และยังบิดเบือนข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและรัฐบาลควบคุมได้โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน จึงอยากขอให้นายกฯ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย เร่งปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สังคม อยากให้นายกฯ และ ครม.เห็นแก่ประโยชน์ด้านสุขภาพของประชาชนทุกคนมากกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบ
ด้าน ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ประธานเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวว่า ประเทศไทยลงนามเป็นภาคีตามกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกตั้งแต่ พ.ศ. 2547 อนุสัญญาฯ นี้ จึงผูกพันการทำงานของหน่วยงานรัฐทุกฝ่าย ทั้งนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ การวิ่งเต้นเพื่อล้มล้างกฎหมายห้ามขาย ห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าของอุตสาหกรรมยาสูบที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ จึงถือว่าขัดต่อพันธกรณี ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ในมาตรา 5.3 เรื่องการป้องกันการแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบ ซึ่งห้ามอุตสาหกรรมยาสูบและผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์ของอุตสาหกรรมยาสูบ มีส่วนร่วมต่อการกำหนดกฎหมาย หรือดำเนินการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ