วันนี้ (7 เม.ย.65) นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานคร โดยสำนักอนามัย และสำนักการแพทย์ ได้เตรียมความพร้อมแนวทางปฏิบัติในการจัดระบบคัดกรองและดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่ม 608 หรือผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ และกลุ่มเด็กเล็กของสถานพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการประสานส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที เพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรง หรือเสียชีวิต หากติดเชื้อโควิด-19 ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และเป็นไปตามแนวทางที่ ศบค. สธ. และ สปสช.กำหนด
สำนักอนามัย มีระบบในการคัดกรองและดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่เป็นกลุ่ม 608 โดยใช้แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล หากพบว่าผู้ติดเชื้อมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือมีโรคร่วมสำคัญข้อใดข้อหนึ่ง ได้แก่ 1.อายุมากกว่า 60 ปี 2.โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง รวมถึงโรคปอดเรื้อรังอื่นๆ 3.โรคไตเรื้อรัง 4.โรคหัวใจและหลอดเลือดรวมโรคหัวใจแต่กำเนิด 5.โรคหลอดเลือดสมอง 6.เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ 7.ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กิโลกรัม) 8.ตับแข็ง ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และ 9.หญิงตั้งครรภ์ หรือเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาได้ผ่านช่องทางสายด่วน 1330 กด 18 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือมารับบริการที่ศูนย์บริการสาธารณสุข หากพบว่าผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่ม 608 หรือเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี ศูนย์บริการสาธารณสุขจะรับดูแลและส่งคำร้องขอเตียงไปยังศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร เพื่อรอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสนาม / โรงพยาบาล / Hospitel โดยระหว่างที่รอการส่งต่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลแบบ Home Isolation จากศูนย์บริการสาธารณสุข เพื่อให้ได้รับยารักษาโดยเร็วที่สุดจนกว่าจะได้รับการจัดสรรเตียงในโรงพยาบาล ซึ่งผู้ป่วยในกลุ่มนี้ ถือเป็นกลุ่มสีเหลืองที่สามารถใช้สิทธิ UCEP Plus และสามารถเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลได้ทุกแห่ง นอกจากนี้ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ UCEP Plus และสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มาขอรับบริการ ณ ARI clinic และทางออนไลน์ และดำเนินการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยมีระบบการคัดแยกผู้ป่วย และระบบดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มอาการระดับต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์ UCEP Plus และแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยจะเน้นระบบการคัดกรองและระบบการส่งต่อกลุ่มเสี่ยง 608 และกลุ่มเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี เพื่อประสานส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ทันท่วงที
ในส่วนของสำนักการแพทย์ ได้เร่งดำเนินการเพื่อปรับเข้าสู่การคัดแยกผู้ป่วย ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่ม 608 ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงได้อย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต โดยจะมีศูนย์เอราวัณเป็นหน่วยประสานและส่งต่อผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาในโรงพยาบาลตามระดับความรุนแรง โดยสถานการณ์เตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ในสังกัดสำนักการแพทย์ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 เม.ย.65) มีจำนวนทั้งสิ้น 3,498 เตียง (รพ.หลัก 631 เตียง รพ.สนาม 1,554 เตียง และ Hospitel 1,313 เตียง) มีอัตราครองเตียงรวม 80.07% พร้อมสนับสนุนแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข รักษาฟรี “UCEP โควิด พลัส” ได้ทุกโรงพยาบาล รวมถึงรักษาฟรีในโรงพยาบาลตามสิทธิ์ ซึ่งจำแนกเกณฑ์อาการโควิดแบ่งเป็นผู้ป่วยสีเขียว สีเหลือง สีแดง ให้ชัดเจน ตามหลักเกณฑ์การจำแนกอาการโควิด 19 ดังนี้ 1.UCEP โควิด พลัส (UCEP COVID-19 Plus) ย่อมาจาก Universal Coverage for Emergency Patients Plus เป็นเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ กรณีติดเชื้อโรคโควิด-19 เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิดในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสีแดงและสีเหลือง รวมถึงสีเขียวที่อาการเปลี่ยนแปลงเป็นสีเหลือง 2.แนวทางการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยยังได้รับการรักษาฟรีทุกราย โดยแบ่งตามกลุ่มระดับอาการโควิด ดังนี้ ผู้ป่วยสีเขียว ไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อย คือ มีไข้ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ลิ้นไม่รับรส จมูกไม่รับกลิ่น กลุ่มนี้เข้ารับการรักษาได้ฟรี ในโรงพยาบาลตามสิทธิ์ ได้แก่ บัตรทอง สวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม โดยกักตัวที่บ้าน (HI) กักตัวในชุมชน (CI) Hospitel หรือเข้าโครงการ “เจอ แจก จบ” ที่หน่วยบริการใกล้บ้าน ผู้ป่วยสีเหลือง มีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน กลุ่ม 608 กลุ่มนี้เข้ารับรักษาฟรีในโรงพยาบาลตามสิทธิ์ และรักษาฟรีกับ UCEP พลัส ได้ทุกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ป่วยสีแดง มีอาการหอบเหนื่อย พูดไม่เป็นประโยค หายใจเจ็บหน้าอก มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส นานกว่า 24 ชม. ค่าออกซิเจนน้อยกว่า 94% กลุ่มนี้เข้ารับรักษาฟรีในโรงพยาบาลตามสิทธิ์ และรักษาฟรีกับ UCEP พลัส ได้ทุกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ป่วยทั้ง 3 กลุ่ม สามารถติดต่อ ศูนย์เอราวัณ 1669 สปสช.1330 กด14 กรม สบส.1426 UCEP พลัส 0-2872-1669 และ 3.ปรับลดวันรักษานอนโรงพยาบาล จาก 10 วัน เหลือ 7 วัน สำหรับจำนวนวันรักษาโควิด-19 ในโรงพยาบาล ซึ่งเดิมกำหนดไว้ 10 วัน จะมีการหารือปรับลดเป็นลักษณะ 7 + 3 คือ รักษาในโรงพยาบาล 7 วัน และกลับไปแยกกักตัวที่บ้านต่ออีก 3 วัน แต่ทั้งนี้จะต้องพิจารณาบนหลักของความปลอดภัยโดยแพทย์ ส่วนยารักษาโควิด-19 “โมลนูพิราเวียร์” ที่กระทรวงสาธารณสุขจัดสรรมาจะใช้ทั้งในกลุ่ม 608 และคนทั่วไป
ทั้งนี้ UCEP Plus ผู้ติดเชื้ออาการสีเหลืองและสีแดง สามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้ทุกแห่งจนหายป่วย ไม่จำกัดแค่ 72 ชั่วโมงเหมือน UCEP ปกติ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากอาการรุนแรงขึ้นจำเป็นต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลอื่นในเครือข่ายจะไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากผู้ป่วยหรือญาติประสงค์จะไปรักษาที่โรงพยาบาลนอกเครือข่าย จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ส่วนผู้ป่วยอาการสีเขียวจะให้เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลตามสิทธิโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากอาการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีแดง สามารถส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นโดยใช้สิทธิ UCEP Plus ได้เช่นกัน ส่วนการใช้สิทธิ UCEP Plus ผู้ติดเชื้อสิทธิบัตรทองกลุ่มอาการสีเหลืองหรือสีแดง ยังเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลใดก็ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นค่าห้องพิเศษหรืออาหารพิเศษนอกเหนือสิทธิประโยชน์ ส่วนกลุ่มผู้ป่วยสีเขียว ไปรับบริการสถานพยาบาลปฐมภูมิในระบบบัตรทองได้ทุกที่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากอาการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือแดง สามารถส่งต่อไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาจนหายได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเช่นกัน
สำหรับ UCEP Plus ต้องมีผลตรวจ ATK หรือ RT-PCR เป็นบวก ร่วมกับมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ 1.ภาวะหัวใจหยุดเต้น มีสิ่งอุดกั้นทางเดินหายใจ หายใจลำบากเฉียบพลัน หรือกำลังชักเมื่อแรกรับที่จุดคัดแยก 2.มีอาการไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส มากกว่า 24 ชั่วโมง หรือหายใจเร็วมากกว่า 25 ครั้งต่อนาทีในผู้ใหญ่ หรือออกซิเจนในเลือดเมื่อแรกรับน้อยกว่า 94% 3.มีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย คือเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว มีปัจจัยเสี่ยงอาการรุนแรงหรือโรคร่วม เช่น อายุมากกว่า 60 ปี โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานที่คุมไม่ได้ หญิงตั้งครรภ์ สามารถโทรแจ้งศูนย์เอราวัณ 1669 ซึ่งจะประเมินอาการและรักษาเบื้องต้น และกรอกรายละเอียดอาการผ่านโปรแกรม PA ของศูนย์เอราวัณ หากเข้าเกณฑ์ UCEP Plus จะสามารถใช้สิทธิได้ทันที
นอกจากนี้กรุงเทพมหานคร ดำเนินมาตรการเชิงรุกและเร่งสำรวจผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19 กำหนดให้บริการระหว่างวันที่ 24 มี.ค.- 29 เม.ย. 65 เพื่อรณรงค์ฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุ ทั้งเข็มที่ 1 เข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 เข็มกระตุ้นให้แก่ผู้สูงอายุ ณ จุดฉีดต่าง ๆ ทั้งในและนอกโรงพยาบาล บริการฉีดวัคซีนถึงบ้าน ให้บริการวัคซีน Pfizer และ AstraZeneca จองผ่านแอปพลิเคชัน “QueQ” และเปิด Walk in ทั้ง 11 โรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานครอย่างต่อเนื่อง จากสถิติการเข้ารับบริการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุในพื้นที่ กทม. มีจำนวน 2,820,474 โดส (ข้อมูล ณ วันที่ 2 เม.ย. 65) โดยสามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน ซึ่งมีการประชาสัมพันธ์ผ่านทางโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร และศูนย์บริการสาธารณสุขที่มีคลินิกผู้สูงอายุครบวงจร และชมรมผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนโควิด-19 ถึงจะไม่สามารถป้องกันการติดโรคได้ 100% แต่หากติดเชื้อโควิด-19 จะสามารถลดอาการหนัก หรือลดการเสียชีวิต จึงขอเชิญชวนผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อป้องกันตนเอง รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมจัดส่งทีมแพทย์เคลื่อนที่ลงชุมชนในพื้นที่ใกล้โรงพยาบาลเพื่อให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กับกลุ่มผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางมายังจุดบริการวัคซีน และกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงด้วย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนสุขภาพสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร โทร.1646 ตลอด 24 ชั่วโมง