xs
xsm
sm
md
lg

ไข้เลือดออก VS โควิด อาการต่างกันอย่างไร รู้ก่อนที่จะรักษาสายเกินไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ช่วงนี้โรคโควิด 19 ยังคงแพร่ระบาดสูงอย่างต่อเนื่อง มีการติดเชื้อรายใหม่วันละ 2 หมื่นกว่าราย ขณะที่โรคไข้เลือดออกปีนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นล่าสุด มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย โดยมี 1 รายที่ตรวจพบโควิดร่วมด้วย ทั้งนี้ ทั้งสองโรคมีอาการหลายอย่างคล้ายกัน อาจทำให้เกิดความสับสน บางรายกังวลโควิดจนลืมนึกถึงไข้เลือดออก ซึ่งการมารักษาช้าเป้นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสียชีวิตได้



นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน ทั้งอากาศร้อนและมีพายุส่งผลให้ฝนตกในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ในหลายจังหวัดพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในการดูแลและเฝ้าสังเกตอาการของโรคไข้เลือกออกกับโรคโควิด 19 โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กควรดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กเล็กจะป่วยง่าย และเด็กในกลุ่มอายุ ต่ำกว่า 5 ปี ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด 19 หากพบว่าไม่สบาย มีไข้ ปวดเมื่อยร่างกาย ท้องเสียตรวจ ATK แล้วผลเป็นลบ ให้ระวังไข้เลือดออกร่วมด้วย

สำหรับอาการของไข้เลือดออกและโควิด 19 ต่างกันอย่างไร สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ทำข้อมูลแยกอาการทั้งสองโรคไว้โดยง่าย ดังนี้

"ไข้เลือดออก" เกิดจากไวรัสเดงกี จะมีไข้สูงลอยประมาณ 2-7 วัน มีผื่น หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง บางรายอาจมีถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือดถ้ารุนแรง อาจเห็นจุดเลือดออกสีแดงเล็กๆ ตามผิวหนัง มักไม่พบอาการไอหรือมีน้ำมูก หากหายใจลำบากหรือปอดอักเสบ

"โควิด 19" จะมีไข้ต่ำถึงสูง ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ ไอแห้งหรือมีเสมหะ มีน้ำมูก หอบเหนื่อยหายใจลำบาก ปอดอักเสบในรายที่รุนแรง อาเจียน ท้องเสียมีในบางราย ไม่พบจุดเลือดออกตามผิวหนัง


นพ.อดิศัย ภัตตาตั้ง ผอ.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า ผู้ปกครองควรสังเกตอาการหากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์ทันที ทั้งนี้ สาเหตุของโรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี มี 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยมียุงลายเป็นพาหะ ส่วนโรค โควิด 19 เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) แพร่จากคนสู่คนทางละอองฝอย เสมหะน้ำลาย การสัมผัสเยื่อบุตา จมูก ปาก แต่ในกรณีเกิดการระบาดพร้อมๆ กัน มีโอกาสพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด 19 และเป็นไข้เลือดออกได้

"ผู้ป่วยไข้เลือดออกในระยะวิกฤต จะมีน้ำเหลืองรั่วออกนอกเส้นเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อก ถ้าไม่ได้รับสารน้ำทดแทนอย่างทันท่วงที จะทำให้เกิดภาวะช็อกนาน จนเกิดตับวาย ไตวาย และอวัยวะอื่นๆ ทำงานล้มเหลว จนเสียชีวิตได้ สำหรับโควิด 19 โอมิครอน ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายไข้เลือดออก โดยเฉพาะอาจมีไข้สูง อาเจียน หรือท้องเสียได้" นพ.อดิศัยกล่าว

นพ.อดิศัยกล่าวว่า การแยกโรคนั้น อาจใช้ประวัติการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิดในระยะ 7 - 10 วัน และการทำ ATK ด้วยตนเอง จะช่วยคัดกรองแยกโรคได้ ในกรณีที่แยกไม่ได้ การตรวจเลือด เช่น การหาค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (complete blood count) และการตรวจหาโปรตีนเอ็น เอส-หนึ่ง ของไวรัสไข้เลือดออก โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรกของไข้จะช่วยวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก

สำหรับสัญญาณอันตรายที่น่าสงสัยว่า เป็นไข้เลือดออกในระยะวิกฤต และมีโอกาสเข้าสู่ภาวะช็อก ได้แก่ ปวดท้องรุนแรง กระสับกระส่าย หรือร้องงอแงผิดปกติในทารก มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อยลง ต้องนำส่งโรงพยาบาลทันที ในรายที่มีไข้สูง 2-3 วัน โดยไม่มีอาการไอ น้ำมูกที่ชัดเจน ควรพาไปตรวจที่โรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์วินิจฉัย หรือส่งตรวจเลือดเพื่อเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก ก่อนจะเข้าสู่ระยะวิกฤตได้ ด้านการรักษาไข้เลือดออกปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัส จึงเป็นการรักษาตามอาการ มีไข้ให้เช็ดตัวและรับประทานยาพาราเซตามอลลดไข้เท่านั้น ห้ามใช้แอสไพรินไอบูโพรเฟน ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อย อาจให้ดื่มนม น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่ร่วมด้วย โควิด 19 หากอาการไม่รุนแรง จะรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เมื่อมีไข้หรือปวดศีรษะ ให้ทานยาลดไข้ ส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ไม่เกิน 2 - 3 วัน จะค่อยๆ ดีขึ้น หากมีน้ำมูก ให้ทานยาลดน้ำมูกเท่าที่จำเป็น หรือถ้าน้ำมูกข้นเขียว ในเด็กโตสามารถล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ หากมีอาการไอให้รับประทานยาแก้ไอตามอาการ และจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ

"หากไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส หายใจหอบเร็วกว่าปกติ หน้าอกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ตอนหายใจ ปากเขียว ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 94% ซึมลง งอแง ไม่ดูดนม ไม่กินอาหาร ถ่ายเหลว หรืออาเจียนมากต่อเนื่องกัน ควรรีบนำเด็กไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์หรือ โรงพยาบาลในเขตพื้นที่รับผิดชอบ" นพ.อดิศัยกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น