คณะทำงาน ผู้เชี่ยวชาญ ลงมติ ยกเลิกวัดความดันโลหิตก่อนฉีดวัคซีน หวังฉีดได้เพิ่มขึ้น ลดอุปสรรคการเข้าถึงวัคซีน
เมื่อวันที่ 20 ก.ค. นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แถลงภายหลังการประชุมอนุกรรมการอำนวยการบริหารการฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่า คณะทำงานด้านวิชาการ ทั้งสมาคมโรคติดเชื้อ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ มีความเห็นควรว่า ให้ยกเลิกการวัดความดันโลหิตก่อนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในจุดให้บริการฉีดวัคซีน เพราะจะเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงวัคซีน เนื่องจากหลายคนที่วัดความดันแล้วสูง จนไม่ได้ฉีดมาจากความกลัว วิตก เครียดจากการฉีดวัคซีน ทำให้เสียโอกาสการเข้าถึงบริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
“จากการพิจารณาพบว่า เดิมได้กำหนดให้มีการวัดความดันก่อนฉีดวัคซีน โดยกำหนดว่าต้องไม่เกิน 160 มิลลิเมตรปรอท หากเกินต้องควบคุมให้ดีก่อนจึงกลับมาฉีด ซึ่งพบว่าตัวเลขดังกล่าวทำให้คนเข้าไม่ถึงเยอะ จึงมีการปรับเป็นไม่เกิน 180 มิลลิเมตรปรอท แต่ก็ยังพบว่ามีบางคนไม่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งคณะทำงานด้านวิชาการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ให้ข้อมูลว่า ระดับความดันโลหิตไม่ได้มีผลต่อการฉีดวัคซีน และด้วยสถานการณ์ที่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิดโดยเร็ว และมากที่สุด หากยังมีประเด็นดังกล่าวอาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงวัคซีนได้ จึงขอให้ยกเลิกการวัดความดันโลหิต หลังจากนี้ กรมการแพทย์จะมีการแจ้งไปยังศูนย์ฉีด หน่วยบริการ โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศต่อไป” นพ.โสภณกล่าว
นพ.โสภณ กล่าวว่า ส่วนผู้ป่วยโรคความดันโลหิต ขอย้ำว่าต้องรับประทานยาต่อเนื่อง ก็จะสามารถควบคุมความดันได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ประชุมได้มีการหารือถึงผลการฉีดวัคซีนกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้สูงอายุและกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง ยังพบว่าฉีดได้น้อย ประมาณกว่าร้อยละ 30 ตั้งแต่มีการฉีดวัคซีน ทั้งที่มีนโยบายออกไปแล้ว ดังนั้น จำเป็นต้องกำชับ และให้ทางพื้นที่ดำเนินการตามกรอบเป้าหมายดังกล่าว เพราะ 2 กลุ่มนี้ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับวัคซีนก่อน เนื่องจากหากรับเชื้อจะมีอาการรุนแรง และเสียชีวิต ซึ่งจริงๆ ควรฉีดให้ได้มากกว่าร้อยละ 50
นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า แนวทางหนึ่งที่จะมีการย้ำไปทางโรงพยาบาลต่างๆ คือ หากผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือหญิงตั้งครรภ์ เมื่อมายังโรงพยาบาล มารักษา หรือรับยาตามกลุ่มอาการ เช่น คลินิกเบาหวาน หรือหญิงตั้งครรภ์ไปฝากครรภ์ ให้บุคลากรสอบถาม หากพบว่ายังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ให้ดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ ณ จุดคลินิกดังกล่าว รวมไปถึงการลงพื้นที่ดูแลผู้ป่วยของทีมปฐมภูมิ ที่เรียกว่า CCR Team (Comprehensive Covid-19 Response Team) ได้รายงานข้อมูลว่า มีการนำวัคซีนลงพื้นที่เพื่อให้บริการฉีดตามชุมชน เนื่องจากพบว่ามีหลายคนยังไม่ได้รับวัคซีน โดยดำเนินการไปแล้วร่วม 10,000 คน ซึ่งในส่วนต่างจังหวัดจะมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)