กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับ 4 มาตรการหลัก “มาตรการด้านการป้องกันโรค มาตรการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม มาตรการเสริมสำหรับโรงงานขนาดกลางและขนาดใหญ่ และมาตรการเมื่อพบผู้ติดเชื้อ” ดูแลสถานประกอบกิจการประเภทโรงงาน ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19
วันนี้ (7 มิ.ย.) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กรมอนามัย ได้ร่วมกับกระทรวงแรงงาน สภาอุตสาหกรรม และกระทรวงมหาดไทย ดูแลในเรื่องการป้องกันความเสี่ยงร่วม โดยสื่อสารให้สถานประกอบกิจการประเภทโรงงานปฏิบัติตามแนวทางทางการป้องกันโรค Good Factory practice (GFP) ด้วยการประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์ม Thai Stop COVID Plus ซึ่งมีมาตรการหลัก 14 ข้อ แบ่งเป็นด้านการป้องกันโรค 8 ข้อ ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม 6 ข้อ และเมื่อประเมินแล้วจะส่งข้อมูลกลับมาบนฐานข้อมูลออนไลน์ หากโรงงานไหนประเมินไม่ผ่านจะต้องมีการปรับปรุง นอกจากนี้ จะมีการประเมินแบบ On site โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับจังหวัดจะเข้าไปสุ่มประเมิน โดยกำหนดให้ทุกจังหวัดต้องมีการประเมินโรงงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 10-20 ซึ่งสถานประกอบกิจการประเภทโรงงานที่มีคนงานคนไทยและแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก จะมีความเสี่ยงมากเป็นอันดับต้นๆ ขอให้สถานประกอบกิจการประเภทโรงงานขนาดใหญ่ประเมินตนเองให้เสร็จภายในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ แต่หากมีมาตรการที่ไม่ผ่าน ต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน เพื่อที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด สำนักงานแรงงานจังหวัด และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จะดำเนินการสุ่มตรวจโดยกรมอนามัยได้ทำหนังสือส่งถึงผู้ประกอบการให้เข้าไปประเมินตนเอง และขอให้ประเมินตามความเป็นจริง เพื่อเป็นประโยชน์ในการป้องกันโรคและแก้ไขจุดเสี่ยงต่อไป
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับการยกระดับคุมเข้มการระบาดของโรคโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการประเภทโรงงาน กรมอนามัยได้กำหนด 4 มาตรการหลัก คือ “1) มาตรการด้านการป้องกันโรค มีการคัดกรองวัดอุณหภูมิ สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา จัดให้มีที่ล้างมือพร้อมสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ไว้บริการ ลดความแออัด การเว้นระยะห่าง ติดตามข้อมูลของผู้ปฏิบัติงาน จัดให้มีที่ล้างมือพร้อมสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ไว้บริการ รวมถึงการให้ผู้ที่อยู่ในโรงงานปฏิบัติตามมาตรการ 2) มาตรการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัส การจัดการขยะมูลฝอย จัดให้มีการระบายอากาศที่เหมาะสม หอพักสำหรับผู้ปฏิบัติงานต้องสะอาด ไม่แออัด และหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่ม หากมีรถรับ-ส่ง ต้องมีการทำความสะอาด สำหรับการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในโรงอาหาร โดยกำหนดเส้นทางการเดิน จุดนั่ง เดิน ยืน หรือที่พักรอให้ชัดเจน แยกสำรับอาหาร แล้วไม่ใช้แก้วน้ำ จาน ชาม ร่วมกัน
3) มาตรการเสริมสำหรับโรงงานขนาดกลางและขนาดใหญ่ ต้องมีกลไกการจัดการและแผน เมื่อเกิดเหตุกรณีพบพนักงานติดเชื้อต้องมีการซักซ้อมแผน หากมีแรงงานต่างด้าวต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย และสำหรับโรงงานขนาดใหญ่ต้องเข้มเรื่องการคัดกรองผู้ปฏิบัติงานและผู้มาติดต่อ โดยใช้ระบบประเมินตนเองผ่านเว็บไซต์ “ไทยเซฟไทย” ก่อนเข้าปฏิบัติงาน เพื่อประเมินความเสี่ยงรายบุคคล กรณีมีรถรับ-ส่ง ให้พนักงานสวมหน้ากากตลอดเวลา เว้นระยะห่างวัดอุณหภูมิก่อนขึ้นรถ และเช็ดฆ่าเชื้อรถหลังใช้งาน ทำความสะอาดฆ่าเชื้อในพื้นที่ส่วนกลาง และจุดสัมผัสร่วมให้เปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติ เช่น ประตู ก๊อกน้ำ เป็นต้น และ 4) มาตรการเมื่อพบผู้ติดเชื้อ ให้แจ้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ภายใน 3 ชั่วโมง เพื่อให้เจ้าหน้าที่สั่งการและคำแนะนำ หลังจากนั้นให้พิจารณาปิดพื้นที่หรือสถานที่และทำความสะอาดพื้นผิวทันที ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงให้ส่งตรวจเชื้อและกักตนเองทันที ส่วนผู้เสี่ยงต่ำให้มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ถ้ามีผู้ติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 10 ให้ใช้ Bubble and seal เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และให้กระบวนการผลิตสามารถดำเนินการต่อไปได้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด