xs
xsm
sm
md
lg

กสศ. ร่วมภาคี ระดมสมองรับเปิดเทอมใหม่ เสนอให้อิสระโรงเรียนจัดการตามบริบทพื้นที่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กสศ. ร่วมภาคี ระดมสมองรับเปิดเทอมใหม่ เสนอให้อิสระโรงเรียนจัดการตามบริบทพื้นที่ ชู อสม.การศึกษาตัวช่วยครูนำการศึกษาไปให้ถึงเด็ก 


วันนี้ (18 พ.ค.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จับมือภาคีพันธมิตร วุฒิสภา TDRI The Reporters และ The Active Thai PBS จัดเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “เปิดเทอมใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม: สอนอย่างไร เรียนแค่ไหน เมื่อออนไลน์ไปไม่ถึง” ในวันที่ 17 พ.ค.64 โดยมีผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการแวดวงการศึกษาที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมพูดคุยกันถึงประเด็นการศึกษาแบบ New Normal ในภาวะวิกฤตโควิด-19 เพื่อร่วมกันแบ่งปันการทำงานในการศึกษาปัญหาและหาทางออกให้กับเด็กยากจน เด็กยากจนพิเศษ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและไม่สามารถเข้าถึงสัญญานอินเทอร์เน็ตได้ พร้อมตัวแทนคุณครูและผู้บริหารสถานศึกษาในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งได้มาร่วมแบ่งปันนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนในยุคโควิด ที่ใช้ได้ผลสำเร็จจากประสบการณ์จริง

นายตวง อันทะไชย ประธานกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา กล่าวว่า ทาง กมธ.ได้ลงไปทำวิจัยผลกระทบจากโควิด-19 ต่อการศึกษา พบว่าในรอบที่ 3 สาหัสมาก หนึ่งในข้อเสนอคือควรให้เกิดการจัดการศึกษาได้ตามสภาพจริงบางพื้นที่วิกฤตแต่บางพื้นที่ไม่มีผู้ติดเชื้อ จึงควรให้พื้นที่ที่ไม่มีโควิด-19 ระบาด จัดการเรียนได้เต็มหลักสูตรเต็มเวลา โดยยึดหลักควบคุมโรคระบาด ตามมาตรการวัดไข้ รักษาระยะห่าง ใช้เจลล้างมือ และต้องทำงานร่วมกันระหว่าง 3 ฝ่ายคือ 1.กระทรวงมหาดไทย 2.กระทรวงสาธารณสุข และ3.กระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ การจัดการศึกษาในพื้นที่บนเขา เกาะ ชนบท มีเทคนิคจัดการศึกษาที่แตกต่างกันควรนำวิธีเหล่านั้นมาถอดบทเรียนเพื่อจัดการเรียนการสอน อีกทั้งที่ผ่านมาพบว่าการบริหารจัดการการศึกษาที่สั่งการจากฝั่งกระทรวงศึกษาธิการไม่ประสบความสำเร็จ วันนี้สถานศึกษาควรจะเป็นคนกำหนดรูปแบบการเรียนการสอนและส่งขึ้นมาให้กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจะได้เห็นความแตกต่างหลากหลายไม่ต้องเหมือนกัน โดยกระทรวงศึกษาธิการจะมีหน้าที่สนับสนุนงบประมาณและมาตรการช่วยเหลือ

นายตวง กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญควรมีนวัตกรรมการเรียนการสอนที่นำมาถอดเป็นบทเรียนชุดความรู้ ที่เกิดการมีส่วนร่วมจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อในอนาคตไม่ว่าจะเกิดวิกฤตรอบที่สี่รอบที่ห้าก็สามารถรับมือได้ โดยเชื่อมโยงทั้งพื้นที่ สถานศึกษา อสม.ว่าจะต้องจัดการศึกษาอย่างไร  อีกทั้ง บทเรียนที่ผ่านมาการเรียนการสอนออนไลน์ หรือ DLTV มีปัญหาอะไรบ้างนั้นยังมีอุปสรรค ทักษะบางอย่างเรียนออนไลน์ไม่ได้ เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ ต้องเป็นแอคทีฟ เลิร์นนิ่ง ไปจนถึงมีกระบวนการพัฒนาผู้เรียน พัฒนาอารมณ์ สติปัญญา อีกทั้งหลังโควิด-19 อาจจะเป็นการสิ้นสุดของโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ กลายเป็นโรงเรียขนาดพอดี เพื่อสามารถควบคุมดูแล รักษาระยะห่างในชั้นเรียนได้ ทำให้ผู้เรียนไม่ต้องหยุดเรียน ไม่ลืมบทเรียน ไม่ต้องหลุดจากระบบการศึกษา

“ที่สำคัญคือบทบาทของกระทรวงศึกษาธิการต้องปรับใหม่ ต้องไม่ใช้การสั่งการแต่ใช้การสร้างแรงจูงใจบุคลากรทางการศึกษา และอำนวยความสะดวกทั้งเรื่องหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ที่มีข้อเสนอไปถึงรัฐบาลว่าควรมีการจัดสรรงบพิเศษ ไม่ใช่ให้โรงเรียนไปหักจากงบเดิมที่ใช้ไม่พออยู่แล้ว อีกทั้งควรมีกระบวนการให้โรงเรียนที่พร้อมเปิดเปิดเรียนได้ โดยมีความเป็นเอกภาพทางนโยบายแต่ หลากหลายทางปฏิบัติโรงเรียนไหนพร้อมก็เปิดก่อนได้เลยไม่ต้องรอพื้นที่อื่น และควรจะได้นำแนวคิดที่ผ่านมาไปต่อยอดนวัตกรรมจัดการศึกษาต่อไป” นายตวง กล่าว

แนะใช้ “ฐานข้อมูล”ออกแบบมาตรการลดความเหลื่อมล้ำ ดร.ไกรยส  ภัทราวาท รองผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า ในช่วงที่กำลังจะเปิดเทอมในวันที่ 1 มิ.ย.นี้  ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น การทำงานบนฐานข้อมูลรายบุคคล รายโรงเรียน และรายพื้นที่ ด้วยข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ช่วยให้มองเห็นสถานการณ์หน้างานจริง สามารถออกแบบมาตราการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ตรงจุด สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

ข้อมูลในระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาหรือ iSEE ช่วยทำให้เห็นภาพจริงในปัจจุบันของเด็กยากจนด้อยโอกาสที่ครัวเรือนมีรายได้น้อยที่สุด 20 % ล่างของประเทศ ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลของ กสศ. พบว่าประชากรผู้มีรายได้น้อยเหล่านี้อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีบริบทความยากลำบากที่หลากหลาย ซึ่งจำเป็นที่รัฐต้องมีมาตรการที่หลากหลายและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในภาวะวิกฤตโควิท-19 ในช่วงเปิดเทอมนี้มีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลสูงได้อย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันมีสถานศึกษามากถึง 510 แห่งที่มีนักเรียนยากจนพิเศษ 100% ทั้งโรงเรียน โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ แม่ฮ่องสอน   นราธิวาส ปัตตานี  ยะลา ตาก นอกจากนั้นข้อมูลระบบ iSEE ยังชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันยังมีสถานศึกษาที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล (Stand Alone) มากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ ที่ยังต้องการการพัฒนาและการลงทุนในโครงสร้างพื้นที่หลายด้านเพื่อให้มีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2564 นี้ ตัวอย่างเช่น จังหวัดที่มีสถานศึกษาขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลซึ่งยังไม่มีไฟฟ้าใช้มากที่สุด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และแพร่  ส่วนจังหวัดที่ยังมีสถานศึกษาที่ยังไม่มีอินเทอเน็ตใช้จำนวน  255 แห่ง กระจายตัวอยู่ในจังหวัด แม่ฮ่องสอน ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มากที่สุด เป็นต้น

ดร.ไกรยส กล่าวว่า ปีการศึกษา 2563 ยังมีพื้นที่กว่า 78 ตำบล ที่ไม่มีโรงเรียนอยู่ในตำบลแล้ว ทั้งที่ในท้องถิ่นเหล่านี้ยังมีเด็กวัยเรียน 4,580 คนที่ต้องข้ามตำบลไปเรียน และบางคนที่ยังอยู่นอกระบบการศึกษา ซึ่งปัจจุบันยังมีเด็กวัยการศึกษาภาคบังคับ (6-14 ปี) มากกว่า 4 แสนคนที่ยังไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบการศึกษา นอกจากนั้น จากการสำรวจสภาพความพร้อมเรียนรู้ที่บ้านในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ในปี 2564 พบความแตกต่างระหว่าง นักเรียนในครอบครัวฐานะดีร้อยละ 20 อันดับแรก สามารถเข้าถึงโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ในพื้นที่เรียนรู้แบบส่วนตัว มากถึงร้อยละ 90  ในขณะที่นักเรียนในครอบครัวยากลำบากที่สุดร้อยละ 20 ลำดับ ล่าง  โอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีมีเพียงร้อยละ 10   

บทเรียนจากการทำงานของ กสศ. ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาพบว่า ข้อมูลถือเป็นเครื่องมือในการทำงานเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาที่มีศักยภาพสูง การมีข้อมูล ช่วยให้เรามองเห็น สถานการณ์จริงพื้นที่ ได้ยินเสียงจากในพื้นที่ และทำให้ช่วยเหลือตรงจุด อีกทั้งการมีข้อมูลยังสามารถแชร์ ข้อมูลเหล่านี้ ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำการศึกษาไปสู่ตัวผู้เรียนและสุดท้ายการมีข้อมูลจะเชื่อมโยงไปสู่นโยบายที่มาจากปัญหาหน้างานจริง จากคนทำงานจริง ซึ่งไม่ใช่แค่การทำงานในวันที่ 1 มิ.ย.ปีนี้เท่านั้นแต่ยังรวมถึงปีต่อๆ ไป  การทำงานบนฐานข้อมูลที่มีคุณภาพสูง จากหน้างานจริงจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เรามีการศึกษาที่เสมอภาคได้ในอนาคต” ดร.ไกรยส กล่าว 

แสกนพื้นที่ทำความเข้าใจปัญหาออนไลน์และการศึกษาที่เข้าไม่ถึงเด็ก
นายพงศ์ทัศ วนิชานันท์ นักวิจัยด้านการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า สำหรับสาเหตุที่ทำให้การจัดการศึกษามีความเหลื่อมล้ำเข้าไม่ถึงเด็กบางกลุ่ม ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ส่วนหนึ่งคือ ‘เวลา’ เนื่องจากโรงเรียนเปิดเรียนไม่ได้ตามกำหนด การจัดการเรียนการสอนทำตามปกติไม่ได้ ยิ่งตอกย้ำให้บางโรงเรียนที่ไม่มีความพร้อมในการจัดการศึกษาต้องลดเวลาเรียนลง เด็กจึงเข้าถึงหลักสูตรได้ไม่ครบถ้วน ค่าเฉลี่ยของปีการศึกษาที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่ต้องลดเวลาเรียนจาก 200 วันเหลือราว 180 วัน หายไปประมาณ 10% และจากบทเรียนในการจัดการศึกษาแบบ 4 อ. คือ ออนไลน์ ออนแอร์ สอนผ่าน DLTV ออนแฮนด์ ให้ครูเดินทางไปแจกใบงานในพื้นที่ และออนไซต์ คือให้เด็กสลับวันเข้ามาเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ พบว่ายังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะเด็กที่ไม่มีความพร้อมจะรับผลกระทบมากที่สุด นั่นทำให้เห็นว่าหากแก้ปัญหาเพียงเฉพาะหน้าโดยไม่เปลี่ยนวิธีการสอน เวลาที่มีอยู่จะไม่พอกับการเรียนรู้เนื้อหาทั้งหมด   ดังนั้นการจัดการศึกษา นอกจากแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าตามสถานการณ์แล้ว ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ เพื่อผลการศึกษาในระยะยาว หมายถึงการเรียนในภาวะวิกฤตที่เด็กจะยังได้ทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นรอบด้าน คือต้องมีการเรียนการสอนแบบใหม่ ที่ใช้เวลาเรียนน้อยลง และสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่นอกโรงเรียนได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม นายพงศ์ทัศ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังจะเปิดเทอมใหม่ มาตรการระยะสั้นคือต้องเร่งฉีดวัคซีนให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เร็วที่สุด ก่อนเปิดเรียนในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 เริ่มในพื้นที่สีแดงเข้มก่อน ทั้งนี้ประเด็นหนึ่งคือต้องสร้างความมั่นใจในเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีน เช่นคำแนะนำทางการแพทย์ในการประเมินความเสี่ยงของแต่ละคนก่อนการรับวัคซีน และต้องมีมาตรการชดเชยกรณีที่เกิดการแพ้วัคซีนร่วมด้วย เชื่อว่าถ้ามาตรการเหล่านี้สื่อสารไปถึงทุกโรงเรียนได้ชัดเจน ก็จะทำให้ครูมีคความมั่นใจเพิ่มขึ้น  

ในมุมของผู้ที่ทำงานในพื้นที่ ดร.ศุภโชค ปิยะสันติ์ ผู้อำนวยการบ้านห้วยไร่สามัคคี จ.เชียงราย ที่ปรึกษาเครือข่ายชมรมนักจัดการศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร โรงเรียนพื้นที่เกาะ กล่าวว่า สภาพปัญหาของโรงเรียนพื้นที่สูง  มักพบปัญหาเกี่ยวกับการเดินทางและความแตกต่างทางวัฒนธรรมชนเผ่า โดยพบโรงเรียนที่มีปัญหาทั้งสิ้น 1,190 โรงเรียน แบ่งเป็น ปัญหายุ่งยากมาก 259 โรง ยุ่งยากปานกลาง 565 โรง และยุ่งยากน้อย 366 โรง กระจายตัวอยู่ตามเขตชายแดน ไล่ตั้งแต่จ.เชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน ตาก และกาญจนบุรี ซึ่งพบว่านักเรียนหลายคนไม่สามารถเรียนออนไลน์ หรือเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและโทรทัศน์ได้ สำหรับคุณครูที่เข้าไปในพื้นที่ก็พบกับความลำบาก มีพื้นที่เป็นภูเขาชัน ไม่สะดวกต่อการเดินทาง บางครั้งชุมชนก็ไม่ไว้ใจครู เพราะเป็นคนแปลกหน้ากลัวว่าจะนำโควิด-19 เข้าไปติดเด็กๆ

โรงเรียนและการเรียนที่ต้องเปลี่ยนไป
รศ.ดร.ธันยวิช วิเชียรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและวิทยบริการ ม.ศรีปทุม ชลบุรี กล่าวว่า การจัดการศึกษาในช่วงหลังการเกิดวิกฤต COVID-19 จะเปลี่ยนแปลงไป อย่างแรกคือวิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนไปทำให้คนเดินทางน้อยลง สื่อสารกันลดลง การวัดผลการศึกษาที่จากเดิมที่เน้นเรื่องศักยภาพในการแข่งขันเพื่อเข้าสู่สถานประกอบการขนาดใหญ่ข้ามชาติ จะเปลี่ยนเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพเล็ก ๆ ที่ทำแบรนด์ท้องถิ่น เน้นการสร้างอาชีพใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง ผลที่ตามมาคือความคาดหวังเรื่องผลลัพธ์ทางการศึกษาจะมุ่งเน้นที่เรื่องความคิด ทักษะการทำงาน ทักษะชีวิต ทักษะสังคม และการเป็นนักเรียนรู้เชิงรุกตลอดชีวิต
 
“เราจะไม่ยึดโยงกับโรงเรียนอีกแล้ว กระบวนการเรียนรู้จะไม่เป็นรายวิชาอีกต่อไป แต่จะเป็นหน่วยการเรียนรู้ที่บูรณาการสาระวิชาต่าง ๆ ลงไป โรงเรียนจะลดความสำคัญลง การเรียนตามอัธยาศัยหรือการศึกษาทางไกลจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ การเรียนจะพึ่งพิงกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ปัญหา สำหรับบทบาทของครูก็จะเปลี่ยนเป็นผู้แนะนำและประสานงานแทน” รศ.ดร.ธันยวิชกล่าว

ครูเคลื่อนที่ - อสม.การศึกษา- ครูหลังม้า นวัตกรรมการเรียนการสอนจากโควิด- 19 ในการเสวนาออนไลน์ยังได้ถอดบทเรียนการบริหารจัดการการศึกษาของโรงเรียนในพื้นที่พิเศษ ที่ประสบความสำเร็จจากการปรับตัวในการจัดการเรียนการสอนในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา โดยก้าวข้ามข้อจำกัดของพื้นที่  มีการผสมผสานการสอนทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์ บางพื้นที่มีอาสาสมัครการศึกษา ที่อยู่ในชุมชนเข้าไปช่วยเสริมการเรียนการสอน เช่น ศิษย์เก่า รุ่นพี่และปราชญ์ รวมไปถึงการระดมความร่วมมือจากผู้ปกครองและชุมชน  ได้แก่ โรงเรียนบ้านห้วยนกกก ตั้งอยู่ในเขตชายแดนจังหวัดตาก มีสภาพภูมิประเทศเป็นพื้นที่สูง มีหมู่บ้านกระจายเป็นหย่อม ที่ผ่านมาในสถานการณ์ COVID-19 แต่ละระลอก ได้ลองจัดการศึกษาตามนโยบายแต่ไม่ได้ผลดีนัก จึงคิดค้นวิธีแก้ปัญหาหลายรูปแ










กำลังโหลดความคิดเห็น