กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานหมูดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เพราะเสี่ยงป่วยด้วยโรคไข้หูดับ อาจทำให้หูหนวกถาวรหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ พร้อมแนะวิธีป้องกันโดยรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ไม่ใช้เขียงของดิบและของสุกร่วมกัน ไม่สัมผัสเนื้อหมูและเลือดดิบด้วยมือเปล่า และขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
วันนี้ (5 พ.ค.) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้มีรายงานพบผู้ป่วยโรคไข้หูดับประปรายในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มักมีการจัดกิจกรรมร่วมกันและมีการปรุงอาหารรับประทานกันเองในงานต่างๆ เช่น งานบุญหรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เป็นต้น กรมควบคุมโรค จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังเรื่องการประกอบอาหารและรับประทานอาหารดังกล่าว โดยขอให้เน้นการรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ใหม่ และสะอาด โดยเฉพาะเนื้อหมูที่ชำแหละกันเองในหมู่บ้าน และนำมารับประทานดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ หลู้หมูดิบ ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านที่มีการใส่เลือดหมูดิบผสม หรือการปิ้งย่างไม่สุก ทำให้เสี่ยงโรคไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อสเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส และอาจทำให้หูหนวกถาวรหรือเสียชีวิตได้
สถานการณ์ของโรคไข้หูดับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 25 เมษายน 2564 พบผู้ป่วยแล้ว 119 ราย เสียชีวิต 9 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ ได้แก่ อายุมากกว่า 65 ปี รองลงมาคืออายุ 55-64 ปี และ 45-54 ปี ตามลำดับ ภาคที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือภาคเหนือ รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ลำปาง อุตรดิตถ์ พะเยา นครราชสีมา และพิจิตร ตามลำดับ นอกจากนี้ รายงานจากโปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาด พบว่า ในช่วงที่ผ่านมา (เดือนเมษายน) มีเหตุการณ์สำคัญที่เป็นการระบาดของโรคไข้หูดับ เช่น ลำปาง พบเหตุการณ์ประปรายในหลายพื้นที่ และที่นครราชสีมา พบเหตุการณ์ผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนที่เกิดจากการรับประทานลาบหมูดิบร่วมกันในงานอุปสมบท เป็นต้น
โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1. เกิดจากการบริโภคเนื้อและเลือดหมู ที่ปรุงแบบดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ 2. การสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมูที่เป็นโรค จากทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา หรือสัมผัสเลือดของหมูที่กำลังป่วย หลังจากได้รับเชื้อ 3-5 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง หูหนวก ท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หากพบว่ามีอาการดังกล่าว ขอให้รีบพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการกินหมูดิบและสัมผัสเนื้อหมูให้ทราบ เพราะหากมาพบแพทย์และวินิจฉัยได้เร็ว จะช่วยลดอัตราการเกิดหูหนวกและการเสียชีวิตได้ ซึ่งผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน ไต มะเร็ง หัวใจ ผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น หากติดเชื้อจะมีอาการป่วยรุนแรงเนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ
นายแพทย์โอภาส แนะนำวิธีการป้องกันโรคไข้หูดับ คือ 1. ควรบริโภคอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อน ทำสดใหม่ โดยเฉพาะเนื้อหมู ควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากตลาดสดหรือห้างสรรพสินค้า ที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์ ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ ขอให้แยกอุปกรณ์ที่ใช้หยิบเนื้อหมูสุกและดิบออกจากกัน ไม่ใช้เขียงของดิบและของสุกร่วมกัน และ 2. ไม่สัมผัสเนื้อหมูและเลือดดิบด้วยมือเปล่า โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ควรสวมรองเท้าบู๊ทยาง สวมถุงมือ รวมถึงสวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงาน หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด และล้างมือหลังสัมผัสกับหมูทุกครั้ง
ที่สำคัญ ในช่วงนี้มีการระบาดของโรคโควิด-19 ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยสวมหน้ากาก 100% ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง และหลีกเลี่ยงการจัดเลี้ยงหรือจัดงานที่รวมคนจำนวนมาก เพื่อป้องกันการรับเชื้อและแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่น โดยเฉพาะคนในครอบครัวที่เป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือมีโรคประจำตัว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422