รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย ระบบการแพทย์และสาธารณสุขไทย และความร่วมมือภาคีเครือข่าย ส่งผลให้รักษาผู้ป่วยหายแล้วกว่า 25,000 ราย อัตราการเสียชีวิตระลอกใหม่เพียงร้อยละ 0.1 น้อยกว่าทั่วโลก 20 เท่า พร้อมเดินหน้าการแพทย์วิถีใหม่
วันนี้ (29 มี.ค.) ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานเสวนา Smart Living With COVID-19 “Save ทุกลมหายใจ พาคนไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19” โดยมี นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ศ.นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, รศ.นายแพทย์นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล นายกสมาคมอรุเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมการเสวนา และ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ร่วมเสวนาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เพื่อให้ประชาชน สื่อมวลชน และ Influencer ได้รับทราบและมั่นใจในความพร้อมของมาตรการรองรับสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นายอนุทิน กล่าวว่า ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลได้บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ระดับนโยบาย ไปจนถึงจังหวัดและพื้นที่ ทำให้ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพระบบรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอัตราเสียชีวิตของผู้ป่วยอยู่ที่ร้อยละ 0.3 ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นทั่วโลก และน้อยกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 7 เท่า (ข้อมูล 14 มี.ค. 2564) เมื่อเทียบเฉพาะการระบาดระลอกใหม่พบว่าอัตราการเสียชีวิตเพียงร้อยละ 0.1 ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 20 เท่า และมีผู้ป่วยรักษาหายแล้วจำนวนกว่า 25,000 ราย อีกทั้งขณะนี้ ได้จัดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กลุ่มเป้าหมายระยะแรก ในพื้นที่ระบาด และพื้นที่เศรษฐกิจตามแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งมีวัคซีนเพียงพอ ขอให้ประชาชนมารับการฉีดตามนัดหมายให้ครบทั้ง 2 เข็ม เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในพื้นที่ สร้างความมั่นใจนโยบายของรัฐบาลในการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
ด้าน นายแพทย์ สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ ได้ปรับแนวทางบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ มีเป้าหมายให้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (Personal-based medical service) พร้อมทั้งมีการจัดระบบให้บริการรูปแบบใหม่ (Redesigned) และนำระบบดิจิทัลมาใช้ให้บริการผู้ป่วยมากขึ้น มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการแพทย์มาปรับใช้ระบบการทำงานของโรงพยาบาลให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อาทิ ระบบ Telemedicine เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อและสื่อสารระหว่างผู้ป่วยและผู้ให้บริการทางการแพทย์ เป็นวิธีการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มช่องทางเข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็ว เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วยและบุคลากร ลดความแออัดในโรงพยาบาล ขณะที่ยังคงมีความเป็นธรรมในการมารับบริการทางการแพทย์ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะช่วงการระบาดของโควิด-19 ได้จัดทำแผนประคองกิจการในการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตสำหรับสถานพยาบาล เพื่อให้สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง เป็นแผนแม่บทของโรงพยาบาลในการบริหารกำลังคน ทรัพยากร งบประมาณในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ได้พัฒนารูปแบบระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ มุ่งให้ประชาชนปรับตัวให้เข้ากับฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ให้โรงพยาบาลนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ การให้บริการทางการแพทย์ ตั้งแต่การคัดกรอง จัดคิวผู้มารับบริการ รวมถึงการให้บริการห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน เพื่อลดความแออัด ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ