กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จัดทีมเฝ้าระวัง คุมเข้มการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ป้องกันมิให้เกิดการล่อลวงประชาชนให้กระทำผิดกฎหมาย เตือนในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ไม่สามารถเดินทางระหว่างประเทศ การรับจ้างอุ้มบุญจะนำไปสู่การทอดทิ้งเด็ก ผิดทั้งกฎหมาย และมนุษยธรรม
เมื่อวันที่ 29 ม.ค. นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตลอดช่วงระยะเวลาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ประจวบกับปัจจุบันหลายประเทศมีอัตราการเกิดที่ลดลง จึงอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีอาศัยช่วงที่ประชาชนตกอยู่ในภาวะลำบาก ชักชวนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในทางที่ผิด ทั้งการรับจ้างอุ้มบุญ หรือการขายไข่-อสุจิ ณ จุดนี้หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าทำไมถึงยังมีผู้เสี่ยงลักลอบใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในทางที่ผิดอีก ทั้งที่ประเทศไทยมีกฎหมาย “พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558” ในการควบคุม กำกับดูแล และมีบทลงโทษผู้กระทำผิดอย่างชัดเจน
ซึ่งต้องขอชี้แจงว่า เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ของประเทศไทยนั้นมีความก้าวหน้าและทันสมัยอยู่ในอันดับต้นๆของโลก มีอัตราความสำเร็จในการให้บริการตั้งครรภ์โดยเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 46 และด้วยอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ที่สูงจึงทำให้นายหน้า หรือคู่สมรสบางรายยอมเสี่ยงกระทำผิดกฎหมาย ดังนั้น จึงสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรม สบส.ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังการใฃ้เทคโนโลยีฯ และดำเนินการของสถานพยาบาลอย่างใกล้ชิด ซึ่งกฎหมายคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีฯ ก็มีบทกำหนดโทษการกระทำผิดดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน อาทิ ผู้ใดรับจ้างอุ้มบุญ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ผู้ใดซื้อ-ขายอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ฯลฯ ซึ่งการรับจ้างอุ้มบุญนั้นนอกจากจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายของประเทศไทยแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพและก่อให้เกิดปัญหาในด้านมนุษยธรรมต่อเด็กที่เกิด ยิ่งในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งหลายประเทศมีการปิดน่านฟ้า ส่งผลให้หญิงที่รับจ้างอุ้มบุญไม่สามารถเดินทางไปคลอด ณ ประเทศปลายทางเมื่อเด็กคลอดออกมาแล้วก็จะทำให้เกิดปัญหาการทอดทิ้งเด็ก หรือปัญหาในการกำหนดสิทธิ์ความเป็นบิดา-มารดา และหากลักลอบเดินทางผ่านช่องทางธรรมชาติก็มีความเสี่ยงที่จะติดโรคโควิด-19 และถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในฐานลักลอบเข้าประเทศจากประเทศนั้นๆอีกด้วย จึงขอให้คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์
ด้าน ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวต่อว่า การรับบริการด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะวิธีการอุ้มบุญ ทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ด้วยกฎหมายอนุญาตให้เฉพาะคู่สมรสชาวไทยที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย หรือเป็นคนไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติจะต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และไม่มีบุตร ไม่อนุญาตให้คู่สมรสซึ่งเป็นชาวต่างชาติทั้งคู่ทำ หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนจะต้องมีสัญชาติไทย เป็นญาติสายตรงกับคู่สมรส มีบุตรมาแล้วเช่นกัน หากยังอยู่กินกับสามี จะต้องได้รับการยินยอมจากสามีก่อน ส่วนหญิงโสดไม่สามารถรับตั้งครรภ์ได้ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ให้บริการจะต้องตรวจประเมินความพร้อมทางร่างกาย จิตใจและสภาพแวดล้อมของผู้รับบริการ หญิงที่รับตั้งครรภ์ สามารถใช้ 2 วิธี คือ ใช้อสุจิและไข่ของคู่สมรสที่ต้องการมีบุตร หรือใช้อสุจิหรือไข่ของคู่สมรสกับไข่หรือ อสุจิบริจาค ห้ามใช้ไข่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์ และห้ามทำเพื่อการค้า หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมายทั้งแพทย์ผู้รับทำ นายหน้า และคู่สมรส ทั้งนี้ หากพบการกระทำผิดกฎหมายเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการรับจ้างตั้งครรภ์แทน โฆษณาเชิญชวนให้มีการอุ้มบุญ หรือซื้อขายไข่-อสุจิ สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สายด่วนกรม สบส. 1426 เพื่อติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป