สธ. ยันฉีดวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรกให้บุคลากรทางการแพทย์ 50,000 โดส วันที่ 14 ก.พ. 64 ผุดตั้งไลน์ “หมอพร้อม” ให้ลงทะเบียนรับวัคซีน วันที่ 12 ก.พ. 64 คาดล็อตถัดไปที่จะเข้ามานั้น เบื้องต้นที่แจ้งมา คือ เดือน มี.ค. เม.ย. อีก 1 แสน
วันนี้ (25 ม.ค.) หลังจากที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สธ. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. ได้ประชุมทางไกลกับผู้บริหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรัฐและเอกชน เพื่อชี้แจงการบริหารจัดการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระยะที่ 1 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ นายอนุทิน กล่าวสั้นๆ หลังการประชุม ว่า ขณะนี้ระบบสุขภาพ ทั้งสถานพยาบาล บุคลากร และอุปกรณ์ต่างๆ นั้น มีการเตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนจากบริษัท แอสตราเซเนกา ที่จะเข้ามาลอตแรกต้นเดือน ก.พ.จำนวน 50,000 โดส
นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 กล่าวว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในระยะแรก จะให้กับกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่เสี่ยง เช่น บุคลากรการแพทย์ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ทำงานหน้าด่านในพื้นที่เสี่ยง เช่น จังหวัดสมุทรสาคร กทม. แม่สอด จ.ตาก และจังหวัดในภาคใต้ เพื่อให้ระบบสาธารณสุขเดินหน้าต่อ และเศรษฐกิจไปต่อได้ และเพื่อให้ประชาชนมั่นใจด้วยว่า หมอก็กล้าฉีด แต่ต้องเป็นไปตามความสมัครใจ โดยจัดทำ Line Official Account ในชื่อว่า “หมอพร้อม” ในวันที่ 12 ก.พ.เพื่อบุคลากรทางการแพทย์ ลงนามความยินยอม ซึ่งปลัด สธ.ได้เสนอให้ฉีดในวันที่ 14 ก.พ. โดยจะมีติดตามผลหลังการฉีดวัคซีน ตั้งแต่อยู่ที่ รพ.ระยะเวลา 30 นาที หลังได้รับวัคซีน จากนั้นจะติดตามต่อในวันที่ 1 วันที่ 7 และวันที่ 28 หลังรับวัคซีน
ส่วนในจำนวน 50,000 โดสแรกนี้ จะให้เป็นเข็มแรกทั้งหมดเลยหรือจะเก็บจำนวนหนึ่งไว้เป็นเข็ม 2 ด้วยหรือไม่ ให้กรรมการผู้เชี่ยวชาญพิจารณาอีกครั้ง เพราะล็อตถัดไปที่จะเข้ามานั้นเบื้องต้นที่แจ้งมา คือ เดือน มี.ค., เม.ย. อีก 1 แสน วัคซีนมาเมื่อไหร่ก็ต้องนำมาปรับกัน อย่างไรก็ตาม ทางกรรมการจะประชุมสรุปอีกครั้ง
ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า จากการติดตามผลการฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกาที่เริ่มมีการฉีดให้ประชากรในต่างประเทศ ผลข้างเคียงน้อยกว่าวัคซีนตัวอื่นๆ ถือว่ามีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูง เป็นประโยชน์ในการควบคุมโรคในประเทศ
สำหรับเป้าหมายการฉีดระยะแรกจะให้กลุ่มที่ 1 บุคลากรด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีประมาณ 6-7 พันคน กลุ่มที่ 2 คือ ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับงานควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 ในพื้นที่เสี่ยง กลุ่มนี้มีอยู่ราวๆ หลักพันคน และกลุ่มที่ 3 ประชากรกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อแล้วอาการรุนแรง หรือเสี่ยงชีวิต คือ ผู้สูงอายุ อายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หัวใจ และโรคไต ซึ่งมีอยู่หลักแสนคน ทั้งหมดนี้คือตัวเลขที่มี แต่การฉีดสุดท้ายจะต้องเป็นไปตามความสมัครใจ
ส่วนเรื่องเข็มฉีด และอุปกรณ์ที่ต้องใช้นั้น นพ.โสภณ ยืนยันว่า มีเพียงพอ เพราะมีการผลิตได้ในประเทศ โดยสัปดาห์หน้าจะทยอยส่งเข็มฉีดไปยัง รพ.ต่างๆ จำนวน 2.5 ล้านชุด โดยผู้ที่จะเข้ารับวัคซีนควรดูแลตัวเองให้แข็งแรง เพราะปกติจะไม่ฉีดวัคซีนให้กับคนมีไข้