ศบค. เผย วิเคราะห์สถานการณ์โควิด-19 3 เหตุ หลังผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระจายไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้น ผู้ติดเชื้อบางรายไม่ยอมกักตัวเอง หรือไม่หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น เน้นเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น
วันนี้ (2 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 11.30 น. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนได้ร่วม 2 การประชุมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คือ การประชุม ศบค.และประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (ศปค.สธ.) ที่กระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข วิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับอดีต รมว.สาธารณสุข และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข มีข้อสรุปขึ้นมาว่า สถานการณ์ ณ ปัจจุบันการคัดกรองในแรงงานต่างด้าวพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การระบาดรอบใหม่ที่น่าจับตามอง คือ กลุ่มก้อนในกรุงเทพฯ ซึ่งเริ่มกระจายในหลายพื้นที่ และมีผู้เสียชีวิต โดยไม่สามารถหาความเชื่อมโยงจากศูนย์กลางการระบาดเดิมได้ ทำให้การควบคุมโรคยากขึ้นกว่าเดิม และคาดว่า จะมีการแพร่กระจายโรคเพิ่มอีกหลายเท่าตัว และไปยังทุกจังหวัดทั่วประเทศ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันควบคุมโรค มาตรการทางสังคมที่เข้มข้นและรวดเร็ว จึงมีประสิทธิภาพเพียงพอ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ มาตรการที่ ศบค.ได้นำเสนอนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. เดิมจะมีข้อแม้อยู่ 2-4 ข้อ คือ ยึดหลักจากมาตรการเบาไปหาหนัก ต้องอยู่ในข้อแม้ก็คือ การระบาดต้องไม่มาก อยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้ ทรัพยากรยังพอมี คนร่วมมือ ทั้งภาครัฐ เอกชนต่างๆ ร่วมมือ ซึ่งตอนนี้ ศบค.ได้เอาชุดข้อมูลเหล่านี้มีวิเคราะห์ สถานการณ์ ณ ตอนนี้ ศบค.วิเคราะห์แล้ว 1. การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในประเทศทำให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระจายไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ มีรูปแบบของการแพร่ระบาดที่ต้องเฝ้าระวังเข้มข้นดังนี้ 1.1 ผู้ติดเชื้อหลายคนทราบดีว่าตนเองเดินทางไปพื้นที่เสี่ยงหรือร่วมกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่ไม่ยอมกักตัวเอง หรือไม่หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น หรือไม่เข้าไปปรึกษาแพทย์ ทำให้เกิดการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นในสถานที่ต่างๆ ซึ่งเราเห็นภาพใน 2 สัปดาห์เป็นอย่างนี้เลย 1.2 ยังมีกิจกรรมลักลอบมั่วสุมโดยผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการพนันเกิดขึ้นโดยทั่วไป ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาด นอกจากนั้น ยังมีการมั่วสุมแบบเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า 2. จำนวนผู้ติดเชื้อและมีอาการต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลมีจำนวนมากขึ้น จนกระทั่งขีดความสามารถทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งด้านบุคลากรและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ลดลงจำนวนมาก มีความจำเป็นต้องทบทวนมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในภาพรวม ทั้งนี้ คนที่ติดเชื้อไม่มีอาการมีประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ และ 3. ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม มีความตระหนักรู้ถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 และให้ความร่วมมือกับมาตรการป้องกันโควิด-19 เป็นอย่างดี แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งยังขาดความระมัดระวังในมาตรการที่ ศบค.ขอความร่วมมือ จึงมีความจำเป็นต้องบูรณาการการดำเนินมาตรการป้องกันโรคโควิดเป็นภาพรวม
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ เมื่อเห็นภาพแผนที่ประเทศไทยวันที่ 2 ม.ค.พื้นที่สีแดง สีเหลือง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งประเทศ พื้นที่สีขาวและสีเขียวแทบจะไม่มีแล้ว ฉะนั้น หากเราใช้มาตรการแบบตามกันไปคงจะยาก เราจะต้องปรับมาตรการขึ้นมา โดยมาตรการต้องนำการติดเชื้อ หากปล่อยให้เป็นไปตามปกติและเราวิ่งไล่ตามไล่แก้ หาจำนวนเตียงมารอผู้ป่วยอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เราต้องลดจำนวนผู้ป่วยให้ได้ ฉะนั้น มาตรการต้องเข้มข้นขึ้นทุกจังหวัด รวมถึงแนวชายแดน วันนี้ที่ประชุมทั้ง 2 แห่งมีความเห็นตรงกันเกิดมาตรการขึ้นมาเพื่อรองรับสถานการณ์ที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะต้องนำเรียนนายกรัฐมนตรี โดยจากสีเหลืองต้องขยับเป็นสีส้ม จากสีขาวต้องเป็นสีเหลือง ส่วนสีแดงต้องเพิ่มมาตรการที่เข้มขึ้นไปอีก ต้องขออภัยความไม่สะดวกที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในแต่ละจังหวัด