สธ.เผยต้องเข้มหาผู้ป่วยโควิดเชิงรุกเข้าระบบการรักษา ป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ย้ำแม้จะผ่อนปรน ไม่ได้แปลว่าเชื้อหมดไปแล้ว ยังต้องรักษามาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น สวมหน้ากาก กลุ่มเสี่ยงงดออกจากบ้าน หากไม่ระวังอาจกลับมาแพร่ใหม่ได้
วันนี้ (2 พ.ค.) นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า แม้ว่าแนวโน้มสถานการณ์ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ลดจำนวนลงเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง คือ การติดตามผู้ป่วยเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยง เนื่องจากประเทศไทยยังมีผู้ที่ได้รับเชื้อ แต่ไม่แสดงอาการ หรืออาการน้อย คิดว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา และไม่ไปพบแพทย์ โดยคนกลุ่มนี้อาจมีในพื้นที่ที่ยังมีการระบาดอยู่ ซึ่งจากการค้นหาตรวจคัดกรองผู้ป่วยเชิงรุก ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จำนวน 671 คน พบผลบวก 23 คน หรือร้อยละ 3.4 และ จ.กระบี่ ได้ค้นหาตรวจคัดกรองผู้ป่วยเชิงรุก จำนวน 447 คน พบเป็นผลบวก 4 คน หรือ ร้อยละ 0.9 ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่จะทำให้การแพร่ระบาดยังคงมีต่อไปอย่างต่อเนื่อง สามารถแพร่โรคให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว แสดงให้เห็นว่ายังมีผู้ติดเชื้อหลงเหลืออยู่ในชุมชนจำนวนหนึ่ง ดังนั้นการหาผู้ป่วยเชิงรุกยังเป็นมาตรการที่สำคัญ จำเป็นและได้ผลในการป้องกันและควบคุมโรคต่อไป
นพ.ธนรักษ์ กล่าวต่อว่า ภายหลังมาตรการผ่อนปรนประชาชนยังคงต้องดูแลสุขภาพ ให้ดีต่อไป เช่น ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น สวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน รักษาระยะห่างทางสังคม หมั่นล้างมือ ไม่สัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก ปาก โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประตัว หลีกเลี่ยงการเดินทางออกจากบ้าน นอกจากนี้ ผู้ที่ต้องออกนอกบ้านไปพื้นที่สาธารณะ เมื่อกลับถึงบ้านไม่ควรคลุกคลีกับผู้อื่น ควรทำความสะอาดตนเอง เช่น อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาสู่คนในบ้าน และเช็กดูอาการตนเอง หากพบผิดปกติหรือมีอาการต้องรีบไปพบแพทย์
“แม้ภาครัฐจะผ่อนปรนมาตรการทางสังคมภาคบังคับ ไม่ได้หมายความว่าโรคได้หมดไปจากประเทศแล้ว หากเราไม่ระวัง โรคจะกลับมาแพร่ระบาดได้ให้ เพราะนั้นต้องทยอยผ่อนปรนด้วยความระมัดระวัง” นพ.ธนรักษ์ กล่าว