คกก.ยาเสพติดยังไม่เคาะ ปลด "กระท่อม" ออกจากยาเสพติด ข้อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมรอบด้าน ทั้งมิติการแพทย์ ชุมชน สังคม คดี เศรษฐกิจ ก่อนหาแนวทางที่เหมาะสม ชี้กระท่อมใช้ทางการแพทย์ได้เหมือนกัญชา พบช่วยลดปวด แก้ท้องเสีย เบาหวาน ไฟเขียว 6 รายปลูก-สกัด "กัญชา" เพิ่มเติม
วันนี้ (24 ธ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการประชุมคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมี นพ.พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธาน โดยการประชุมมีวาระการพิจารณาในเรื่องของกัญชาและกระท่อม โดย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการ อย. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ว่า ในส่วนของกัญชา คณะกรรมการฯ ได้อนุมัติเพิ่มเติมในส่วนของผู้ขออนุญาตปลูกและผลิต จำนวน 6 ราย ได้แก่ 1.มหาวิทยาลัยศิลปากร จ.นครปฐม 2.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ล้านนา จ.ลำปาง 3.รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร 4.รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนรักจัง ฟาร์มเมลอน วังน้ำเขียว 5.ม.พะเยา และ 6.มทร.พระนคร ซึ่งมีทั้งที่นำไปวิจัยและผลิตสารสกัด
นพ.ไพศาล กล่าวว่า ส่วนเรื่องกระท่อม ยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยวันนี้คณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการเรื่องกระท่อม ซึ่งตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2556 โดยมี ภญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการ อย. เป็นประธาน ได้รายงานความก้าวหน้าการศึกษาต่างๆ ในทุกมิติ ทั้งเชิงสังคม กฎหมาย และเศรษฐกิจ โดยพบว่า กระท่อมสามารถที่จะใช้ในทางการแพทย์ได้ดี ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาตำรับ เพราะมีสรรพคุณในเรื่องของเช่น การลดปวด แก้ท้องเสีย และเบาหวาน ขณะที่ทางการแพทย์แผนไทยก็มีอยู่ประมาณ 7 ตำรับ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของโรคบิด ท้องเสีย เป็นต้น ส่วนประเด็นทางสังคม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้รายงานโครงการวิจัยการพัฒนารูปแบบการควบคุมพืชกระท่อมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในประเทศไทย: กรณีศึกษาตำบลน้ำพุ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นการศึกษาพื้นที่ที่มีการใช้กระท่อมตามวิถีชีวิตอยู่แล้ว โดยพบว่า การใช้กลไกประชาคม การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน และออกธรรมนูญ ควบคุมการใช้กระท่อมภายในชุมชนได้ผลเป็นที่พอใจในระดับหนึ่ง ก็ได้ขอวิจัยต่อ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอเรื่องของวิชาการ โดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ในการใช้กระท่อมทางการแพทย์และการทดแทนสารเสพติดอื่น ก็ต้องวิจัยต่อเนื่อง
"พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ที่ใช้กับกัญชาและกระท่อม ทำให้สามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ และนำมาใช้ในพื้นที่ที่เป็นชุมชน อย่างเช่น จ.สุราษฎร์ธานีได้ ซึ่งมีข้อกำหนดไว้ตามมาตรา 58/2 โดยตอนนี้กำหนดในพื้นที่เดียว ซึ่งการจะกำหนดพื้นที่ใช้ในชุมชน ต้องอาศัยทั้ง ป.ป.ส.กำหนดและพื้นที่ต้องมีความพร้อมด้วย คือ มีส่วนร่วมทั้งสองทาง หากกำหนดพื้นที่โดยที่ชาวบ้านไม่สนใจ ไม่พร้อม ไม่มีมีส่วนร่วม ธรรมนูญก็ไม่ออก ซึ่งเรื่องของชุมชนถือเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องศึกษาเพิ่มเติม" นพ.ไพศาล กล่าวและว่า คณะกรรมการฯ ได้ขอให้คณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการเรื่องกระท่อม รวบรวมงานวิจัยและงานที่ส่งผลกระทบในเรื่องของการปกครอง เช่น ทางตำรวจ คดี มีมากน้อยแค่ไหน นำมารวบรวมและนำเสนอ หมายความว่าต้องรวบรวมข้อมูลและวิจัยในส่วนนี้ว่าเราจะทำอย่างไรต่อกับกระท่อม
เมื่อถามว่า ขณะนี้ข้อมูลเพียงพอที่จะปลดล็อกกระท่อมออกจากยาเสพติดแล้วหรือไม่ นพ.ไพศาล กล่าวว่า ขณะนี้ยังต้องอาศัยข้อมูลจากหลายๆ ส่วนก่อน โดยที่ประชุมอยากจะเอางานวิจัยทั้งหลายมารวบรวมก่อน ซึ่งตอนนี้ข้อมูลก็เริ่มมีมากพอสมควร เพราะไม่ต้องตั้งต้นศึกษาใหม่ มีการศึกษามาตั้งแต่ปี 2556 โดยเฉพาะมิติด้านสังคมและเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่แค่ว่ามีสารเสพติดแล้วจะต้องเป็นสารเสพติดเลย
เมื่อถามถึงผลการศึกษาเชิงเศรษฐกิจ ภญ.สุภัทรา กล่าวว่า เชิงเศรษฐกิจ กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นสามารถเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ ปลูกเป็นแนวกันน้ำป่าไหลหลากได้ ถ้ามีการศึกษามากขึ้น สามารถที่จะสกัดไปทำยาได้ในอนาคต
ด้าน นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กรมฯ ได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้น ในส่วนของตำรับยาแผนไทยที่มีกระท่อมผสม มีอยู่ประมาณ 7 ตำรับ ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ อย่างไรก็ตาม การจะนำมาใช้ทางการแพทย์อาจจะต้องพิจารณาแนวทางในการดำเนินการ เช่น อาจออกประกาศตำรับยาแผนไทยสำหรับกระท่อม ภายใต้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 เหมือนกรณีการประกาศตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสม แต่หากยังเป็นยาเสพติดก็อาจมีความยุ่งยาก หรืออาจจะใช้ภายใต้ พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องรอความชัดเจนก่อน ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะมีการลงนามกับทางกระทรวงยุติธรรม เพื่อศึกษาเรื่องกระท่อมอย่างชัดเจน