กรมอนามัย ย้ำผู้สูงอายุออกกำลังกายได้ แต่ต้องเหมาะสม ไม่หนักเกินร่างกายรับไหว ชี้ทุกกลุ่มวัยออกกำลังกายหนักไปตายได้ทั้งนั้น แนะประเมินพื้นฐานร่างกายก่อน พ่วงใช้หลักการ FITT ในการออกกำลังกาย ช่วยมีสุขภาพดี
วันนี้ (11 พ.ย.) นพ.อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงกรณีชายอายุ 60 ปีเสียชีวิตภายในฟิตเนส เนื่องจากยกน้ำหนัก 120 กิโลกรัมเกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหว จนเกิดข้อกังวลเรื่องของการออกกำลังกายในผู้สูงอายุ ว่า การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสม เป็นความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายและอาจเสียชีวิตได้ในทุกกลุ่มวัยอยู่แล้ว ทั้งนี้ ยืนยันว่าผู้สูงอายุก็สามารถออกกำลังกายได้ และจำเป็นต้องออกกำลังกายด้วย เพราะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง แต่การออกกำลังกายจะต้องพิจารณาพื้นฐานของร่างกายตนเองว่า มีโรคประจำตัวหรือไม่ เคยออกกำลังกายชนิดนั้นๆ มาก่อนหรือไม่ หากมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจมีผลทางด้านหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ ต้องคอยสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นระหว่างออกกำลังกายอยู่เสมอ เช่น อาการจุกแน่นหน้าอก หน้ามืด เป็นลม ใจสั่น หมดสติ เป็นต้น หากพบอาการดังกล่าวให้หยุดออกกำลังกายทันที
นพ.อรรถพล กล่าวว่า นอกจากจะประเมินตนเองก่อนแล้ว หลัก "FITT" เป็นอีกหนึ่งทางปฏิบัติเพื่อสร้างสุขภาพดี คือ 1. F-Frequency ความถี่ในการออกกำลังกาย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือประมาณวันเว้นวัน 2. I-Intensity ความหนักในการออกกำลังกาย หนักระดับที่ร่างกายรับได้ โดยสังเกตจากอาการขณะออกกำลังกาย โดยการออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง เช่น เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ควรออกในระดับที่เหนื่อยยังพอพูดได้เป็นประโยคสั้นๆ ส่วนออกกำลังกายแบบแรงต้าน เช่น ยกน้ำหนัก บอดี้เวท ควรออกในระดับที่รู้สึกตึงกล้ามเนื้อ โดยไม่ควรกลั้นหายใจขณะออกแรง และควรเพิ่มระดับความท้าทายอย่างค่อยเป็นค่อยไป
3. T-Time ระยะเวลาที่ใช้ในการออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง หรือ คาร์ดิโอ ในแต่ละครั้งควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 10 นาทีขึ้นไป ได้จนถึง 30 นาที หรืออาจมากกว่านั้นได้หากมีความชำนาญหรือคุ้นชินแล้ว และ 4. T-Type ชนิดของการออกกำลังกาย แบ่งเป็น 3 ชนิด ได้แก่ แบบต่อเนื่อง หรือ คาร์ดิโอ เช่น การเดิน การวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แบบแรงต้าน เช่น ยกน้ำหนัก บอดี้เวท และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นส่วนต่าง ๆ เพื่อความยืดหยุ่น ลดอาการตึงรั้ง บรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ในระดับหนึ่ง
"สิ่งสำคัญควรมีช่วงอบอุ่นร่างกาย (warm up) เพื่อเตรียมก่อนออก และช่วงชะลอ (cool down) เพื่อเตรียมหยุด และควรเพิ่มระดับความท้าทายอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคอยสังเกตอาการผิดปกติอยู่เสมอ ย้ำว่าการออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องอยู่ในระดับหนัก แต่ควรมีกิจกรรมทางกายหรือการเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสม เช่น ทำงานบ้าน การเดิน หรือการปั่นจักรยานให้ได้ถึงระดับที่เหนื่อยพอพูดเป็นประโยคสั้นๆ ได้รวมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายได้เช่นกัน” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว