ทุกการแข่งขันย่อมมีแพ้ มีชนะ แม้สุดท้ายแล้ว จะมีเพียงแค่ผู้ชนะที่ได้รางวัล แต่สิ่งที่ทุกคนได้รับจากการเข้าร่วมแข่งขันนั้นไม่แตกต่างกัน คือ ประสบการณ์ที่ประเมินค่าไม่ได้ เช่นเดียวกับเธอคนนี้ นางสาวจริยา ตุ้มทอง (ขวัญ) นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาภาษาจีน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เธอเป็นตัวแทนนักศึกษาที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมแข่งขันภาษาจีนเพชรยอดมงกุฎ ในระดับอุดมศึกษา ครั้งที่ 16 ซึ่งนี่นับเป็นการแข่งขันภาษาจีนครั้งแรกในชีวิตของเธออีกด้วย
โอกาสมาถึงมือแล้วต้อง “คว้า”
ขวัญเล่าถึงบรรยากาศในการแข่งขันว่า “ตอนแรกเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ แต่ว่าอาจารย์ให้โอกาสเรามาแล้วเลยอยากไป อยากลองทดสอบดูว่าระดับภาษาของตัวเองอยู่ในระดับไหน คนมาแข่งเยอะมากค่ะ ก็มีความกดดันมาก ทุกคนดูเก่งหมดเลย แล้วนี่เป็นสนามแรกในการแข่งขันเกี่ยวกับภาษาจีนของเราด้วย ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ค่ะ”
แม้การแข่งขันครั้งนี้ ขวัญจะมีช่วงเวลาในการเตรียมตัวไม่มาก แต่ด้วยประสบการณ์ และกำลังใจจากคนรอบข้าง ทำให้เธอตัดสินใจท้าทายตนเอง และทำมันอย่างเต็มความสามารถ ขวัญบอกกับตัวเองว่า “ถ้ารอให้พร้อม ก็ไม่มีวันได้เริ่ม”
“จริงๆ ตอนอาจารย์เลือกให้เราและเพื่อนๆ ได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันก็ดีใจค่ะ และก็เครียดด้วย แต่ก็ได้ปรึกษากับครอบครัวตลอดว่าทำอย่างไรดี หนูไม่กล้าที่จะไป ถ้าไปแล้วทำไมได้จะเป็นยังไง แต่แม่ก็จะปลอบใจและพูดเสมอว่าถ้าหากหนูคิดจะทำอะไรแล้ว แม่ก็เชื่อว่าหนูจะทำได้ทุกอย่าง มันเป็นประโยคที่ได้ยินเสมอเมื่อต้องการกำลังใจ และก็เป็นประโยคที่ทำให้หนูมีแรงฮึดขึ้นมา โอกาสมาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว เมื่อเราตัดสินใจคว้าไว้แล้ว เราต้องเดินหน้า ไม่ว่าจะได้ผลลัพธ์จากการแข่งขันแบบไหนก็ไม่เป็นไร เพราะเราได้โอกาสมาแล้ว ต้องทำให้เต็มที่”
จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ภาษาจีน
ขวัญเป็นเด็กศิลป์-ภาษาที่มีความผูกพันกับภาษาจีนมาอย่างยาวนาน จากทีแรกรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ชอบมากจนคิดว่าจะเลือกเรียน แต่ก็กลายมาเป็นตัวแทนในการแข่งขันทางวิชาการด้านภาษาจีนได้ เมื่อก้าวเข้ามาสู่รั้วมหาวิทยาลัยรังสิต
“ต้องย้อนไปตอนที่เรียนอยู่ม.ปลาย หนูเรียนศิลป์ภาษาจีน แต่ยังไม่ได้รู้สึกชอบอะไรมากมาย จนได้เข้ามาในระดับมหาวิทยาลัย ได้มาเจออาจารย์ที่สาขาภาษาจีนของม.รังสิต แล้วรู้สึกว่าอาจารย์เป็นกันเองมาก มีความเอาใจใส่นักศึกษา ทำให้หนูรู้สึกว่าเขาทำให้เรามีแรงบันดาลใจมากขึ้น ทำให้เราอยากเรียนภาษาจีนมากขึ้นค่ะ ซึ่งจุดเปลี่ยนที่จากคำว่าไม่ชอบ กลายมาเป็นบอกว่าชอบได้เต็มปากเต็มคำ เพราะเมื่อเราโตขึ้นเราได้เห็นอะไรๆ มากขึ้น ได้รู้ว่าเรียนสิ มันเอามาใช้ได้จริงนะ เรียนสิ มันใช้ทำงานหาเงินเดือนเยอะๆ ได้นะ จำได้ว่าเมื่อตอนปีหนึ่ง ได้มีโอกาสไปเรียนซัมเมอร์ที่ประเทศจีน ประมาณ 3 อาทิตย์ค่ะ ตอนนั้นสนุกมาก ได้ลองท้าทายตัวเอง จะพูดได้ไหม จะฟังออกหรือเปล่า ได้ท้าทายตัวเอง และก็ได้รู้ว่านั่นสิ ถ้าไม่ได้มาก็ไม่รู้นะว่าเราก็สามารถสื่อสารได้ ทีนี้เลยพยายามให้มากขึ้นทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน และยังได้เรียนรู้วีถีชีวิตประสบการณ์ของนักศึกษาชาวจีนด้วย รู้สึกว่าระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ ยังได้มากขนาดนี้ หากเราตั้งใจเรียนและมีโอกาสได้ทำงานในสายงานไหนก็ได้ที่ได้ใช้ภาษาที่เราเรียนมา มันคงได้อะไรมหาศาล ได้คุ้มกับค่าเทอมที่ได้เสียไป เพราะภาษาจะติดตัวเราไปจนวันตายค่ะ”
ไม่รู้ทำไมยิ่งเรียน ยิ่งเห็นความสำคัญ
การเรียนภาษาไม่ว่าจะภาษาใด ผู้เรียนจะต้องทุ่มเท ขยัน และมีวินัย เพราะเราต้องท่องจำ ต้องหัดคัดหัดเขียนคำศัพท์ ขวัญบอกว่าแม้จะมีช่วงที่เรียนแล้วเหนื่อย ท้อ แต่ก็พยายามพาตัวเองให้ผ่านช่วงนั้นๆ มาได้
“ขวัญเป็นบ่อยค่ะ ยิ่งช่วงจะสอบ ช่วงพีคๆ ที่ต้องท่องจำอะไรมากมาย มันเหนื่อยและอยากวางทุกอย่างลง แต่ก็บ่อยอีกค่ะที่เราก็ผ่านแต่ละช่วงมาได้ ทุกครั้งก็จะได้คำปลอบใจตัวเองว่า ตั้งใจสิ ผ่านมันไปให้ได้ ยิ่งเรียนยิ่งย้ำ ยิ่งทำ ก็ยิ่งได้รู้ว่าเออภาษามันสำคัญนะ เราอยากไปให้ไกลเราก็ต้องทุ่มเท พยายาม ตั้งใจ หากเราขาดการฝึกฝน ขาดการท่องจำ ลืมแน่นอนค่ะ ขวัญใช้เทคนิคในการท่องจำตอนช่วงปีหนึ่งโดยอาจารย์ท่านแนะนำมาอีกคือไม่ว่าจะทำอะไร หากรู้สึกตัวเองว่างให้เอาภาษาจีนขึ้นมาคัด มาเขียน ทำไปแบบไม่ต้องกดดัน มันจะกลายเป็นการท่องจำที่ดีไปในตัว และก็จริงค่ะ เป็นผลพลอยได้มาถึงทุกวันนี้ คิดแบบง่ายๆ คือ ภาษาถ้าเราได้อยู่ได้ใช้มัน เราจะคุ้นชินและเก่งมากขึ้น ยิ่งหากเราได้ไปยังถิ่นเจ้าของภาษาแล้วด้วย มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมเราจะได้เรียนรู้ตั้งแต่ภาษาไปจนวัฒนธรรมประเพณีวิถีชีวิตกันเลยค่ะ แต่ว่ากรณีหากเราไม่ได้โอกาสตรงนั้น การได้ฝึกภาษาจากการดูหนัง ฟังเพลง ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ดีเช่นกันค่ะ”