อย.จัดประชุมฟังความเห็นร่างกฎกระทรวงขออนุญาต “กัญชง” เผยเปิดกว้างให้ทุกคนปลูกได้ ขีดเส้น 5 ปีแรกเฉพาะคนไทย ครอบครัวละไม่เกิน 1 ไร่ ห้ามนำเข้าจากต่างประเทศ เว้นเมล็ดพันธุ์ หลังรับฟังจบ 5 พ.ย. เตรียมปรับแก้ ส่ง รมว.สธ.ลงนาม ก่อนชงเข้า ครม.เห็นชอบ คาด มี.ค. 63 ประกาศใช้ “ปานเทพ” เสนออนุญาตนำเข้าสารซีบีดีได้ เหตุ UN กำลังปลดล็อกจากยาเสพติด
วันนี้ (1 พ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการ อย. เป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ... จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้อยู่ใต้บังคับกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เครือข่ายภาคประชาชนที่สนใจ เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงกลาโหม กรมวิชาการเกษตร การศุลกากร สภาเกษตรกแห่งชาติ เป็นต้น ซึ่งนอกจากการจัดประชุมแล้ว ยังเปิดรับฟังความเห็นผ่านทางเว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th และ www.lawamendment.go.th ตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. - 5 พ.ย. 2562 ก่อนจะรวบรวมความเห็นทั้งหมดมาปรับแก้ในร่างกฎกระทรวงดังกล่าวและเสนอต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ต่อไป
นพ.ไพศาลกล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้จะเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงฉบับเดิม และยกร่างขึ้นใหม่ครอบคลุมเรื่องการปลูก การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย และครอบครอง ส่งเสริมกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยเปิดให้ทุกภาคส่วนสามารถขออนุญาตปลูกได้ ทั้งหน่วยงานรัฐ เกษตรกรไทย ประชาชนทั่วไปที่เป็นคนไทย นิติบุคคลที่เจ้าของเป็นคนไทย 2 ใน 3 ปลูกได้ในเชิงพาณิชย์ แต่ต้องได้รับอนุญาตในการปลูก และมีรายละเอียดชัดเจนว่าปลูกที่ไหน ส่งไปขายให้ใคร ใช้สายพันธุ์อะไร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเพิ่มเติมการอนุญาตให้ครัวเรือนที่มีวัฒนธรรมในการใช้กัญชงเป็นสิ่งทอแบบดั้งเดิม ปลูกใช้ในครัวเรือนได้ โดยปลูกได้ครอบครัวละไม่เกิน 1 ไร่ แต่ต้องมีใบอนุญาตปลูก และปลูกสายพันธุ์ที่ได้รับการอนุญาต ส่งเสริมการปลูกและพัฒนาสายพันธุ์ไทย ดังนั้น ในบทเฉพาะกาลจึงได้กำหนดว่า 5 ปีแรกจะสงวนให้เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่สามารถดำเนินการเกี่ยวกัญชงภายในประเทศได้ แต่ห้ามนำเข้ากัญชงจากต่างประเทศยกเว้นเมล็ดพันธุ์ พร้อมลดขั้นตอนการขอให้เร็วขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าการแก้ไขร่างกฎกระทรวงจะแล้วเสร็จและเสนอต่อ รมว.สาธารณสุขเพื่อลงนามได้ภายใน พ.ย.นี้ และจะเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ คาดว่ากฎหมายดังกล่าวจะแล้วเสร็จใน มี.ค. 2563
ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลังรังสิต กล่าวว่า ในปี 2563 องค์การสหประชาชาติ (UN) จะปลดสารซีบีดีออกจากยาเสพติด ซึ่งเป็นสารที่มีทั้งในกัญชงและกัญชาอยู่แล้ว ดังนั้น การกำหนดกรอบเวลา 5 ปี ให้ทำได้เฉพาะคนไทย ในเมืองไทย ห้ามนำเข้าอย่างอื่น นอกจากเมล็ดนั้นจะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการพัฒนาสายพันธุ์ และการแข่งขันทางการค้า เพราะก้าวไม่ทันประเทศอื่น จึงอยากให้แก้ไขร่างกฎกระทรวงอนุญาตให้นำเข้าสารซีบีดีจากประเทศอื่นเข้ามาได้ นอกจากนี้ กติกาที่กำหนดว่ากัญชงต้องมีทีเอชซีไม่เกิน 1% ถึงจะไม่เป็นยาเสพติดนั้น ตนมองว่าเข้มงวดเกินไป เพราะที่จริงแล้วทั้งกัญชาและกัญชงเป็นพืชที่มาจากสายพันธุ์เดียวกัน เมื่อปลูกแล้วเจอสภาพแวดล้อม น้ำ ไฟ เป็นตัวแปรที่ทำให้ได้สารทีเอชซีเกิน 1% ได้ ก็กลายเป็นยาเสพติดโดยไม่รู้ตัว ส่วนตัวจึงไม่อยากให้คุมเรื่องการปลูกมาก แต่ควรไปคุมเรื่องการผลิตปลายทางแทน และตนอยากเสนอให้มีการตั้งสถาบันพืชเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย เพื่อดูแลพืชกัญชา กัญชง รวมถึงกระท่อมด้วย