สพฉ. เปิดผลวิจัย “สิ่งคุกคามต่อสุขภาพและอุบัติเหตุจราจร ของคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉิน” ในพื้นที่จ.ชลบุรี พบผู้ขับส่วนใหญ่เป็นชาย มีพฤติกรรมดื่มของมึนเมาประจำเฉลี่ย 2.2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนใหญ่เคยประสบอุบัติในช่วงทำงาน โดยเป็นการชนรถคันอื่น 67.8%
นพ.สัญชัย ชาสมบัติ รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ช่วงระยะเวลา 3-4 ปี ที่ผ่านมา มักเห็นข่าวคราวรถพยาบาล หรือ รถฉุกเฉิน ประสบอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง ทำให้หลายฝ่ายเกิดความห่วงใย และกังวลถึงความปลอดภัยต่อบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขับรถ พยาบาล ผู้ปฏิบัติการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ที่คอยช่วยเหลือผู้ป่วยภายในรถ หรือแม้แต่ตัวผู้ป่วยเอง โดยข้อมูลในปี 2559 - 2562 เกิดอุบัติเหตุกับรถฉุกเฉินทั้งสิ้น 110 ครั้ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 318 ราย เป็นพยาบาลและบุคลากรในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน 129 ราย ซึ่งอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขณะส่งต่อผู้ป่วยระหว่างสถานพยาบาลถึงร้อยละ ขณะที่ สพฉ.มีนโยบายสนับสนุนให้ผู้ป่วยวิกฤตได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพภายในเวลา 8 นาที เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยวิกฤตเพิ่มโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น แต่ผู้ปฏิบัติงานฉุกเฉินก็ต้องทำงานแข่งกับเวลา คนขับรถต้องขับรถด้วยความรวดเร็วเพื่อไปรับผู้ป่วยวิกฤต ณ สถานที่เกิดเหตุ และนำส่งสถานพยาบาลภายในระยะเวลาที่เหมาะสมซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสี่ยง
ดังนั้น สพฉ. โดยคณะวิจัย นำโดยพญ. นภัสวรรณ พชรธนสาร ทำการสำรวจ “สิ่งคุกคามต่อสุขภาพและอุบัติเหตุจราจรระหว่างการปฏิบัติงานของคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉิน” เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไข ซึ่งการสำรวจในครั้งนี้เริ่มที่ จังหวัดชลบุรี ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง 199 คน ในโรงพยาบาลเอกชน 1 แห่ง และมูลนิธิกู้ภัย 3 แห่ง
ผลการศึกษาพบว่า คนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉิน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 36.7 ปี ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ 33.2% หรือเฉลี่ย 2.2 ครั้งต่อสัปดาห์ , ดื่มกาแฟเป็นประจำ 48.7% หรือเฉลี่ย 1.6 แก้วต่อวัน , ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังเป็นประจำ 35.7% หรือเฉลี่ย 1.2 ขวดต่อวัน , นอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน คิดเป็น 10.1% และไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ 43.2%
นพ.สัญชัย กล่าวต่อไปว่า กลุ่มตัวอย่างมี 42 คน เคยประสบอุบัติเหตุจราจรในช่วงเวลาการทำงาน 56 ครั้ง ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดอุบัติเหตุจราจรคือไปชนยานพาหนะคันอื่น 67.8% และมักจะเกิดในระหว่างช่วงเวลา 20.01 - 24.00 น.มากถึง 67.8% และระหว่างช่วงเวลา 20.01-24.00 น. ร้อยละ 33.9 ด้วยความเร็วในการขับขี่ 81-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุมีสาเหตุ มาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านพาหนะ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและกายภาพ นอกจากนี้ยังได้รับความเสี่ยงจากการสัมผัสกับสิ่งคุกคามในขณะปฏิบัติหน้าที่ อาทิ การสัมผัสเลือดจากผู้ป่วยร้อยละ 49.3 ยกของหนักร้อยละ 46.2 หรืออุบัติเหตุจากของมีคม ถูกทำร้ายร่างกาย และความกดดันทางจิตใจ โดยสถิติที่ผ่านมาพบว่าคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉินมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตเป็นจำนวนร้อยละ 16.2
“ แม้อุบัติเหตุไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่หากมีการเตรียมพร้อม ก็จะช่วยลดตัวเลขการสูญเสียได้ ซึ่งที่ผ่านมา สพฉ. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถพยาบาล และ สพฉ. ได้ออกประกาศหน่วยปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัย โดยมาตรฐานของรถ คือต้องมีอุปกรณ์พร้อม ทั้งเครื่องมือ สิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ เครื่องวัดความดัน อุปกรณ์ในการดูแลผู้ป่วย อุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วย เก้าอี้นั่งเจ้าหน้าที่ภายในรถ เตียงนอนผู้ป่วย จะต้องมีมาตรฐาน มีเข็มขัดนิรภัย และอุปกรณ์ผูกรัดมัดตึง เพื่อช่วยรักษาชีวิตบุคคลภายในได้อย่างปลอดภัย”เลขาธิการ สพฉ.กล่าวและว่า ส่วนมาตรฐานบุคลากร ต้องมีการอบรมพนักงาน อย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็ต้องฝึกฝนเช่นกัน เพราะการขึ้นไปอยู่บนรถฉุกเฉิน ต้องมีทักษะการยืน นั่ง ในรถให้เป็น และที่สำคัญที่สุด คนขับรถ ต้องขับขี่อย่างปลอดภัย มีความพร้อม ทั้งสภาพร่างกายจิตใจ มีการตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อมอยู่เสมอเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ