xs
xsm
sm
md
lg

จี้ “บัตรทอง” ปลดล็อกเพดานผู้ป่วยใช้สิทธิรักษาปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


อดีตนายกสมาคมโลหิตฯ จี้ สปสช.ปลดล็อกเพดานจำนวนผู้ป่วย รักษาปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด “สิทธิบัตรทอง” ชี้เป็นสิทธิประโยชน์ คนไข้คนได้รับทุกคน ระบุสิทธิรักษามะเร็งทางโลหิตหลายรายการดีกว่า “ประกันสังคม-ข้าราชการ” 

ศ.พญ.แสงสุรีย์ จูฑา อดีตนายกสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการผลักดันสิทธิประโยชน์การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ว่า ในอดีตการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตยังไม่ได้รับการบรรจุลงในชุดสิทธิประโยชน์ผู้ป่วยบัตรทอง เป็นเพียงโครงการนำร่อง ช่วงแรก สปสช.จำกัดจำนวนการรักษาอยู่ที่ประมาณ 20-30 ราย แต่มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ จนเป็นชุดสิทธิประโยชน์ แต่ก็ยังมีการจำกัดเพดานจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา เพียงแต่เพิ่มจำนวนให้มากขึ้น ตามหลักความจริง คือ เมื่อกลายเป็นชุดสิทธิประโยชน์แล้ว คนไข้ทุกคนก็ควรจะได้รับอย่างเสมอหน้ากัน แต่สิทธิประโยชน์ในเรื่องนี้กลับยังมีการจำกัดจำนวนคนไข้อยู่ เช่น ให้ได้ 60-70 รายต่อปี ส่วนตัวคิดว่าถ้าได้รับบรรจุเป็นชุดสิทธิประโยชน์แล้วก็ไม่ควรได้รับการจำกัดจำนวนการรักษา แต่ก็เข้าใจว่าการรักษาใช้งบประมาณสูง เฉลี่ยแล้วประมาณรายละ 8 แสนบาท จึงจำเป็นต้องมีการจำกัดอยู่ จึงหวังว่าในอนาคต สปสช.จะให้กับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นได้โดยไม่มีการจำกัดจำนวนคน

ศ.พญ.แสงสุรีย์ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งเม็ดเลือดขาวเข้าถึงการรักษามากขึ้นกว่าในอดีต แต่ก็ยังมีประเด็นเรื่องของความครอบคลุมอยู่ ยกตัวอย่าง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท และแต่ละประเภทก็จะแบ่งออกเป็นหลายชนิด โดยมีอยู่หลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับ B-cell ซึ่งปัจจุบันมียาที่จะเข้าไปทำลาย B-cell โดยตรงแล้ว และ สปสช.กับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ก็ได้อนุมัติให้ผู้ป่วยใช้ยาชนิดดังกล่าวได้แล้ว แต่ประเด็นก็คือใช้ได้เฉพาะกับชนิดเดียวเท่านั้น ซึ่งมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิดก็มี B-cell อยู่ด้วยเช่นกัน แต่การให้ยากลับยังไม่ครอบคลุมมะเร็งเหล่านั้น ซึ่งในโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยา พบว่า สิทธิประโยชน์ในหลายโรคของ สปสช.ดีกว่าของประกันสังคม ยกตัวอย่าง คนไข้มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์ ซึ่งในอดีตการปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คนไข้หายขาดได้ แต่นับจากปี 2544-2545 เป็นต้นมา พบว่า มียาที่ใช้ได้ดีมาก จากเดิมที่คนไข้จะอยู่ได้ราวๆ 7-8 ปี หากได้รับยาตัวนี้จะอยู่ได้ถึง 30 ปี แต่ยากลุ่มนี้ค่อนข้างมีราคาแพง ซึ่งตนได้ผลักดันจนมีโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติ (GIPAP) ขึ้น และทำให้ผู้ป่วยบัตรทองได้รับยานี้ทั้ง 400 มิลลิกรัม 600 มิลลิกรัม และ 800 มิลลิกรัม ตามระดับความรุนแรงของโรค ซึ่งเทียบแล้วดีกว่าสวัสดิการข้าราชการที่ให้เพียง 400 มิลลิกรัม และประกันสังคมที่เพิ่งมาให้สิทธิในปี 2555 ทั้งที่ยาเข้าสู่บัญชี จ.2 ตั้งแต่ปี 2551 โดยให้เพียง 400 มิลลิกรัมเท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า ขณะนี้ได้มีการปรับปรุงข้อบ่งชี้เมื่อต้นปีนี้ ทำให้ผู้ป่วยทั้ง 3 สิทธิ สามารถได้รับยาทั้ง 3 ขนาดได้แล้ว

ศ.พญ.แสงสุรีย์ กล่าวต่อว่า ปัญหาอีกอย่างของการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตคือการหาผู้บริจาคที่เหมาะสม เนื่องจากพี่น้องพ่อแม่เดียวกันมีโอกาศที่จะมีเนื้อเยื่อ (HLA) เข้ากันได้มีเพียงรอยละ 25 เท่านั้น ดังนั้นจึงต้องหาผู้บริจาคจากแหล่งอื่น ซึ่งทางศูนย์บริการโลหิตสภากาชาดไทย มีบริการหาผู้บริจาคที่เหมาะสมได้ ขณะนี้ทาง สปสช.อนุมัติให้ทำได้เฉพาะผู้บริจาคที่เป็นพี่น้องกันเท่านั้น ในอนาคตหวังว่าทาง สปสช.จะขยายให้ทำได้ในกรณีที่ไม่ใช่พี่น้องกันได้ (Matched Unrelated Donor, MUD) ทั้งนี้ อยากขอบคุณ สปสช.ที่ทำให้ผู้ป่วยซึ่งปกติแล้วเข้าไม่ถึงวิธีการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตเนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าที่ผู้ป่วยจะแบกรับไหว ซึ่งการให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะทำให้ผู้ป่วยในประเทศไทยที่อยู่ในระบบบัตรทองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงอยากขอขอบคุณ สปสช.แทนผู้ป่วยทุกรายได้ที่รับผลประโยชน์นี้ด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น