“บิ๊กฉัตร” ฝาก รพ.ชายแดน วางระบบการทำงาน เน้นความเข้มแข็ง รพ.สต. อสม. บูรณาการระดับอำเภอ ชู “รพ.สวนผึ้ง” จ.ราชบุรี สร้างรั้วแข็งแรง ใช้ อสม.- อสต. ช่วยดูแลป้องกันโรคระบาดตามแนวชายแดน
วันนี้ (22 มิ.ย.) ที่ รพ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโรงพยาบาลพื้นที่ชายแดน ว่า การดูแลสุขภาพประชาชนมีความซับซ้อน ยิ่งเป็นโรงพยาบาลพื้นที่ชายแดนยิ่งมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพราะต้องดูแลทั้งประชาชนในพื้นที่และประชากรเพื่อนบ้านที่ข้ามแดนมา เพื่อป้องกันโรคที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งในเรื่องของงบประมาณและกำลังคนยอมรับว่ายังมีปัญหาไม่เพียงพอ โดยไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะโรงพยาบาลชายแดน แต่เป็นทั้งประเทศ อย่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้รับงบประมาณติด 5 อันดับของประเทศ แต่ก็ยังต้องของบประมาณกลางปีเพิ่มอีกกว่าหมื่นล้านบาท เนื่องจากงบประมาณในการดูแลประชาชนไม่เพียงพอ สำหรับการมาตรวจเยี่ยม รพ.สวนผึ้ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชายแดนติดกับประเทศพม่า ก็พบว่า มีการวางแผนและระบบในการดูแลที่ชัดเจนทั้งประชาชนในพื้นที่ โดยเน้นเรื่องของการสร้างรั้วให้แข็งแรง คือ ให้ความรู้ประชาชนดูแลสุขภาพตนเองได้ และวางระบบในการดูแลประชากรที่ข้ามแดนเข้ามา
“โรคที่มาพร้อมกับประชากรข้ามแดนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะช่องทางที่เข้ามาไม่ได้มีแค่ช่องทางถาวร แต่ยังมีพรมแดนตามธรรมชาติจำนวนมากที่สามารถเข้ามาได้ตลอด รพ.สวนผึ้ง จึงวางระบบโดยมีทั้งประชาชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว เป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวัง ดูแล เพื่อให้เข้าถึงระบบบริการสุขภาพ ทำให้สามารถป้องกันโรคที่จะระบาดได้ ส่วนปัญหาเรื่องการเก็บเงินจากผู้ป่วยข้ามแดนไม่ได้นั้นก็ยังมีปัญหา แต่ก็เป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชนที่จะต้องดูแล” พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า ที่อยากแนะนำคือ จะต้องมีการวางระบบ เพราะหากทำงานกันอย่างทื่อๆ จะไม่ประสบความสำเร็จ โดยจะต้องเพิ่มความเข้มแข็งของ รพ.สต. อสม. และบูรณาการทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะในระดับอำเภอ เพราะเรื่องสุขภาพไม่สามารถดูแลด้วย สธ.เพียงหน่วยงานเดียวได้ จำเป็นต้องมีการบูรณาการกัน อย่างเรื่องผู้สูงอายุ ก็มีหลายหน่วยงานที่เกีย่วข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นต้น