วงวิชาการห่วง “ฟุตบอลโลก 2018” ทำพนันบอลออนไลน์พุ่ง เผยปี 60 คนไทยเล่นพนันเกือบ 29 ล้านคน เริ่มเล่นพนันครั้งแรกอายุต่ำสุด 6 ขวบ “วัยรุ่น - ผู้สูงอายุ” เข้าสู่วงจรอุบาทว์มากขึ้น เกิดหนี้สินรวมกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยคนละ 1.3 หมื่นบาท เผย 10 ความเชื่อผิดๆ ทำให้หันเล่นพนันมากขึ้น ต้องแก้ความเข้าใจใหม่ แนะวิธีพ่อแม่สังเกตพฤติกรรมลูกเสี่ยงติดพนันหรือไม่
วันนี้ (17 พ.ค.) ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวภายในงานประชุมวิชาการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนันปี 2561 “ชีวิตเสี่ยงพนัน...จะป้องกันเยาวชนอย่างไร?” จัดโดยศูนย์ศึกษาปัญหาพนัน ร่วมกับ มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และ สสส. ว่า การพนันส่งผลกระทบทั้งต่อตัวบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสังคม ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาวะ หนี้สิน ความยากจน และอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ที่น่าเป็นห่วงคือในเดือนมิถุนายนนี้ จะมีการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ยิ่งทำให้มีการพนันฟุตบอลออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สสส. หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรภาคสังคม รวม 11 หน่วยงาน ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันฟุตบอลออนไลน์ในช่วงฟุตบอลโลก 2018 เพื่อหาแนวทางแก้ไข ซึ่งล่าสุดได้มีการประชุมไปแล้วว่าจากนี้แต่ละหน่วยงานจะดำเนินการป้องกัน ป้องปราม และแก้ไขปัญหา เพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนอย่างไรบ้าง และหลังจากการจบฟุตบอลโลกจะมารายงานผลว่าดำเนินการแล้วเป็นอย่างไร ประสบความสำเร็จหรือไม่
“ในส่วนของ สสส. จะเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาของการพนัน การรณรงค์สรางกระแสให้สังคมตระหนักไม่ให้คนหันไปเล่นพนันมากขึ้น โดยเฉพาะพนันผลฟุตบอล และผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายต่างๆ ซึ่งการจัดการประชุมวิชาการในครั้งนี้ก็เพื่อเสนอองค์ความรู้ในการแก้ปัญหาการพนัน โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ มีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับการพนันมากขึ้น ทั้งทางออฟไลน์และออนไลน์ ยิ่งเยาวชนที่เริ่มเล่นพนันจากการพนันฟุตบอลมีแนวโน้มจะเล่นพนันต่อเนื่องสูงถึงร้อยละ 82.6 สูงกว่ากลุ่มที่เริ่มต้นจากการเล่นพนันประเภทอื่นอย่างชัดเจน ขณะที่ผลสำรวจการเล่นพนันของนักเรียนมัธยมต้น ปี 2561 พบว่า เด็กเริ่มเล่นพนันครั้งแรกตอนอายุน้อยที่สุดที่ 6 ปี ส่วนผู้สูงอายุเนื่องจากมีเวลาว่างมาก เกิดความเหงา มีเงินเก็บจากการเกษียณอายุการทำงาน จึงมีแรงจูงใจเข้าสู่วงจรการพนันได้มากขึ้น” นายวิเชษฐ์ กล่าว
นายวิเชษฐ์ กล่าวว่า การหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตนเองจากการเข้าสู่วงจรการพนันนั้น ทั้งเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ ต้องหาความรู้เรื่องผลกระทบการพนันเพื่อให้รู้เท่าทัน เพื่อตระหนักว่าการได้เงินจากการพนันนั้นไม่ยั่งยืน มีความเสี่ยงสูง โอกาสได้มากกว่าเสียมีน้อย เพื่อให้เกิดความยับยั้งชั่งใจ และเป็นเกราะป้องกันตนเอง ไม่ให้หลงไปในคำชักชวนหรือแรงจูงใจให้เห็นผลประโยชน์ว่าการเล่นพนันนั้นดี นอกจากนี้ สื่อมวลชนก็มีความสำคัญ อย่างการเสนอข่าวคนถูกลอตเตอรีมูลค่าจำนวนมากๆ 6 ล้านบาท 12 ล้านบาท หรือ 30 ล้านบาท ก็เป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนอยากซื้อบ้าง ซึ่งปัจจุบันสถิติการซื้อลอตเตอรีก็เพิ่มมากขึ้น
เมื่อถามว่า คนมองว่าการพนันไม่ต่างจากการลงทุน เช่น หุ้น ที่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน นายวิเชษฐ์ กล่าวว่า จากการสำรวจล่าสุดแนวโน้มคนที่จะยอมรับว่าการพนันเป็นอาชีพหนึ่งมีมากขึ้น หรือเป็นแหล่งรายได้ในการมาเลี้ยงครอบครัวก็มีมากขึ้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ต้องสร้างการรับรู้ สร้างทัศนคติให้เข้าใจว่านี่คือปัญหาการพนัน เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ต้องสร้างความรับรู้และตระหนักในประเด็นนี้มากขึ้น
ด้าน รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ร่วมกับ ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ สำรวจสถานการณ์ พฤติกรรม และผลกระทบการพนันในประเทศไทยเป็นประจำทุก 2 ปี โดยปี 2560 สำรวจจากประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปใน 25 จังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15 ก.ย.- 12 ต.ค. 2560 รวม 7,008 ตัวอย่าง พบว่า คนไทยร้อยละ 75.2 หรือเกือบ 40 ล้านคนเคยเล่นพนัน เกินครึ่งเริ่มเล่นพนันครั้งแรกตอนอายุไม่เกิน 20 ปี กลุ่มเริ่มเล่นพนันครั้งแรกอายุต่ำสุดที่ 7 ปี เริ่มจากเล่นพนัน 4 ประเภท คือ ไพ่ หวยใต้ดิน สลากกินแบ่งรัฐบาล และบิงโก โดยผู้เล่นพนันร้อยละ 20 มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพขณะเล่นพนัน คือ ร้อยละ 12 สูบบุหรี่ ร้อยละ 8.2 ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และร้อยละ 7 รับประทานของหวานหรือขนมขบเคี้ยว
“ภาพรวม ปี 2560 คนไทยเล่นพนันในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ร้อยละ 54.6 หรือเกือบ 29 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 ล้านคนเมื่อเทียบกับปี 2558 ในจำนวนนี้เป็นนักพนันหน้าใหม่หรือเริ่มเล่นพนันครั้งแรกในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาถึง 6 แสนกว่าคน ที่น่ากังวล พบว่ากลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุมีการเล่นพนันเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับผลสำรวจปี 2558 สำหรับการพนันยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล หวยใต้ดิน ไพ่ พนันทายผลฟุตบอล และพนันพื้นบ้าน ที่น่าสังเกตคือ การเพิ่มปริมาณสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบก้าวกระโดดทำให้วงเงินพนันสลากฯเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 7 หมื่นกว่าล้านบาทในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 1.4 แสนล้านบาทในปี 2560 และมีผู้เล่นพนันสลากฯ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.2 คือ จาก 19 ล้านคน ในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 21.4 ล้านคน ในปี 2560 ส่วนหวยใต้ดินวงเงินพนันโตขึ้นร้อยละ 3.2 อยู่ที่ 135,142 ล้านบาท จำนวนผู้เล่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 มาอยู่ที่ 17.3 ล้านคน คือทั้งสลากฯ ทั้งหวยใต้ดิน มีคนเล่นเพิ่ม มีวงเงินพนันเพิ่ม และผู้ที่เล่นพนันทั้งสลากกินแบ่งรัฐบาลและหวยใต้ดินมีมากถึง 12.6 ล้านคน” รศ.ดร.นวลน้อย กล่าว
รศ.ดร.นวลน้อย กล่าวต่อว่า ผู้เล่นพนันได้รับผลกระทบทางสุขภาพ ร้อยละ 20.4 หรือ 5.9 ล้านคน เช่น รู้สึกเครียด ขาดเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน มีปากเสียงทะเลาะกับคนในครอบครัว เสียเวลาทำงานหรือการเรียน เป็นหนี้ สุขภาพเสื่อมโทรม ฯลฯ และประมาณ 9 แสนกว่าคนมีหนี้สินที่เกิดจากการพนันรวมกันประมาณ 12,258 ล้านบาท หรือเฉลี่ยที่คนละ 13,188 บาท เมื่อให้ผู้เล่นพนันประเมินว่าตนเองติดพนันหรือไม่ พบว่า ร้อยละ 16.1 หรือประมาณ 4.66 ล้านคน ประเมินว่าตนเองติดการพนัน เพศชายมีสัดส่วนคนติดพนันมากกว่าเพศหญิง แม้คนติดพนันส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 30 - 49 ปี แต่น่ากังวลที่มีเยาวชนอายุ 15 - 25 ปี ประมาณ 4 แสนกว่าคน และผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไปอีกเกือบ 7 แสนคน มองว่าตนเองติดพนัน สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าการพนันเป็นปัญหา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม จำเป็นต้องเร่งแก้ไขและหามาตรการป้องกัน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและผู้สูงอายุ ไม่ให้เข้าสู่วงจรนักพนัน รวมถึงหามาตรการช่วยเหลือผู้ติดพนันในกลุ่มวัยต่างๆ เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบาย มาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดการปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับการพนันต่อไป
รศ.ดร.นวลน้อย กล่าวว่า ขณะนี้ที่น่ากังวลที่สุด คือ พนันทายผลฟุตบอล เพราะมีผลกระทบรุนแรงที่สุด เยาวชนชอบ ได้รับเงินเร็ว และเสียเงินเร็วมากเช่นกัน แต่ที่มีการขยายตัวมากและทำให้สังคมเกิดความรู้สึกว่าการพนันเป็นเรื่องปกติ คือ สลากกินแบ่งรัฐบาล เพราะจำนวนที่ขยายขึ้นและมีการขายเป็นเลขชุดทั้งหลาย มีการรายงานใครถูกรางวัล ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเราก็อยากรวบ พอถูกได้เราก็ถูกได้เช่นกัน สถิติก็ชัดเจนว่า ร้อยละ 60 ของคนที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมีแนวโน้มซื้อมากขึ้น ส่วนสถานการณ์ฟุตบอลโลกที่จะถึงจะมีนักพนันหน้าใหม่เกิดขึ้น คนไม่เคยเล่นก็ทดลองเข้ามาเล่น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คนเข้ามาเล่นพนันมากขึ้น เพราะมีความเชื่อผิดๆ อยู่ 10 เรื่อง คือ 1. เชื่อว่า ทำให้การดูกีฬาสนุกขึ้น 2. เป็นเหยื่อของการท้าทาย ถูกท้าไม่ได้ เหมือนโดนหยามศักดิ์ศรี 3. คิดว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เล่นเองเจ็บเอง 4. คิดว่าเอาอยู่ เงินหมดก็เลิกเล่น 5. มั่นใจในข้อมูล เปิดสื่อ เชื่อกูรู ดูเพื่อน 6. เชื่อว่าแทงผ่านเว็บไซต์ดังๆ น่าเชื่อถือไม่มีโกง 7. แรกๆ เล่นได้ มักจะมองว่าจะได้แบบนี้ตลอดไป 8. เล่นได้ ดวงกำลังมา ต้องตักตวง 9. เล่นเสีย ต้องเอาคืน เดี๋ยวดวงก็มา และ 10. ทัศนคติการพนันได้เงินง่าย ทำงานเหนื่อยกว่าจะได้เงิน ก็ต้องสร้างความตระหนักเรื่องความเข้าใจผิดตรงนี้ใหม่
รศ.ดร.นวลน้อย กล่าวว่า การสร้างความยับยั้งชั่งใจนั้น ในเด็กและเยาวชน หากจะดูฟุตบอลควรดูกับครอบครัว เพราะพ่อแม่คงไม่มีใครอยากให้ลูกเล่นพนัน แต่หากกับเพื่อนต้องคุยให้ชัดไปเลยว่าไม่เอาพนัน ถ้าจะท้าทายกันเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจจะเป็นการซื้อขนม ของเล็กๆ น้อยๆ หรือทำอะไรให้ก็พอรับได้ ล่าสุดมีการสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาเพื่อสอนเยาวชน โดยเฉพาะเยาวชนที่เก่งด้านคณิตศาสตร์ เพื่อให้เขาเห็นชัดเจนความเป็นจริงว่า เล่นอย่างไร เจ้ามือก็ชนะตลอด เช่น เล่นทายเลข ต่อให้ซื้อเลขให้ครบ 1 พันตัว 1 พันบาท ต่อให้เราถูกได้เงินคืนมา สมมติได้ 600 บาท ก็เท่ากับเสียไป 400 บาทอยู่ดี แม้บางรอบจะถูกแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะในระยะยาว ส่วนประเด็นที่ว่าการพนันให้ความรู้สึกสนุกนั้น จริงๆ แล้วอย่างการดูฟุตบอลมันก็มีความสนุกความลุ้นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นพนัน แต่หากมีความรู้สึกอยากเล่นจริงๆ ก็สามารถปรึกษาสายด่วนสุขภาพ สำหรับผู้ปกครองสามารถสังเกตอาการของเด็กที่ติดพนันได้ โดยเฉพาะการพนันบอลออนไลน์ หากอยู่กับหน้าจอมากเกินไปให้คอยแวะเวียนไปทักทายว่าทำอะไรอยู่ และดูจากพฤติกรรมทางการเงินที่จะเปลี่ยนไป เช่น เล่นได้อาจซื้ออะไรที่ผิดแปลกไป ช่วงเสียก็มาบอกมีกิจกรรมเยอะมาก ขอเงินผิดปกติ ต้องเข้ามาดูว่าความผิดปกติมาจากอะไรจะได้แก้ไขได้ในช่วงต้น ส่วนครูก็มีส่วนร่วมในการป้องกันได้ โดยดูว่านักเรียนมีพฤติกรรมผิดปกติหรือไม่ รวมถึงการสอนและให้ความรู้เรื่องการป้องกันตัวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการพนัน