เตือน "จอดก่อนสาด" ไม่ดื่ม ไม่ซิ่ง ลดอุบัติเหตุสงกรานต์ เผย 67% มอเตอร์ไซค์พาหนะเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตสงกรานต์สูงสุด
วันนี้ (9 เม.ย.) ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ จัดกิจกรรมรณรงค์สงกรานต์ ภายใต้แคมเปญ “จอดก่อนสาด ไม่ประมาท ไม่ดื่ม ไม่ซิ่ง” ภายในงานมีการแสดงละครสะท้อนปัญหาสงกรานต์ และขบวนชุดไทยที่บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ นั่งรถเข็น เดินรณรงค์แจกสื่อประชาสัมพันธ์ บริเวณป้ายรถเมล์
น.ส.รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวว่า ทุกๆปีจะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนกว่าสองหมื่นราย สอดคล้องกับข้อมูล ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)ในกลุ่มผู้เสียชีวิต พบว่า ร้อยละ51เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุส่วนใหญ่ ร้อยละ60 เป็นคนในพื้นที่ ขณะเดียวกันร้อยละ 55 เกิดเหตุบนถนนสายหลัก รองลงมาคือถนน อบต./หมู่บ้าน ที่น่าห่วงคือ จักรยานยนต์ เป็นพาหนะเกิดเหตุและมีผู้เสียชีวิตสูงสุด ร้อยละ 68 รองลงมาคือ รถปิกอัพ ร้อยละ12 และรถเก๋ง ร้อยละ7 ส่วนกลุ่มที่เสียชีวิตสูงสุดคือวัยทำงาน20-49 ปี และมีเด็กตํ่ากว่า20ปี เสียชีวิตร้อยละ 18 ซึ่งสาเหตุ คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ36 เมาสุรา ร้อยละ33 และตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ20
“จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขในแต่ละปีพบผู้บาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางถนนที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ปีละ150,000 ราย จำนวนนี้กลายเป็นผู้พิการ 6,000คน นั่นหมายความว่า แต่ละปีมีผู้พิการรายใหม่เกิดขึ้นปีละ6,000คน หากเฉลี่ยเฉพาะช่วงสงกรานต์จะมีผู้พิการประมาณ190 ราย อย่างไรก็ตามสสส.ให้ความสำคัญลดอุบัติเหตุ ลดความสูญเสีย เพราะคงไม่มีครอบครัวไหนอยากให้สมาชิกในบ้านต้องจากไปเพราะอุบัติเหตุทางถนน และซ้ำร้ายกว่านั้นต้องพิการไปตลอดชีวิต และการดำเนินการ สงกรานต์ ปี2561 ทางสสส.ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดทั่วประเทศ รณรงค์ลดอุบัติเหตุในหลายพื้นที่ จึงหวังว่าสงกรานต์ปีนี้จะเป็นเทศกาลแห่งความสุข และความปลอดภัย” นางสาวรุ่งอรุณ กล่าว
พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รองโฆษก สตช. กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมเข้มเรื่องการจราจรอย่างต่อเนื่องทุกเทศกาล และทุกปี มักพบว่าถนนเส้นรองมีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าเส้นหลัก ดังนั้น สงกรานต์นี้ทุกฝ่ายต้องช่วยกันลงขันดูแลอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ปภ. หมู่บ้าน ตำบล ส่วนทาง ตร.เองได้วางแผนแนวทางลดอุบัติเหตุไว้ครอบคลุมถนนทุกสาย เช่น ตั้งจุดตรวจเข้ม เน้นการบังคับใช้กฎหมาย เมาแล้วขับ ขับเร็ว ไม่สวมหมวก ง่วงไม่ขับ
“น่าห่วงมากว่าไทยติดอันดับต้นๆของการดื่มสุราแล้วทำให้เกิดอุบัติเหตุ การบอกว่าขับไปใกล้ๆแป๊บเดียว แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุก็สร้างความสูญเสีย บาดเจ็บพิการ และทำให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องต้องมาเดือนร้อน สิ่งเหล่านี้ ต้องปลูกจิตสำนึกและปรับค่านิยมการดื่มเหล้าเบียร์ การฉลองเกินเลย ยิ่งเจ้าหน้าที่มีไม่เพียงพอ จะให้เน้นบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียวคงไม่ได้ นอกจากนี้ อยากให้คำนึงถึงการปิดผิวจราจรเล่นสาดน้ำ เมื่อเกิดอุบัติเหตุทำให้รถพยาบาลเข้าไปไม่ได้ รวมถึงการใช้รถใช้ถนน ขอให้มีสติ ง่วงไม่ขับ มีจิตสำนึกสาธารณะ ร่วมกันเฝ้าระวังเป็นหูเป็นตาแจ้งเบาะแส เพื่อลดความสูญเสียบนท้องถนน”พล.ต.ต.ยิ่งยศ กล่าว
นายธีระศักดิ์ น่าชอบ ญาติผู้ประสบอุบัติเหตุถูกรถจักยานยนต์ชนเสียชีวิต ช่วงเทศกาลสงกรานต์ กล่าวว่า เมื่อสงกรานต์ 2 ปีที่แล้ว มีคนเมาอายุเพียง15ปี ขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็ว ชนคุณตาวัย75ปี เสียชีวิตคาที่ ส่วนหลาน 4 ขวบ ที่นั่งซ้อนท้ายจักยาน ได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เหตุการณ์นั้นสร้างความสะเทือนใจให้ทั้งครอบครัวจนถึงวันนี้
“คุณตาของผม ท่านเป็นคนที่แข็งแรง ชอบปั่นจักรยานออกกำลังกาย ปั่นไปทำไร่ทำสวน และชอบเข้าวัดทำบุญ ไม่คิดว่าต้องมาเสียชีวิตเพราะคนเมาคึกคะนอง และสงกรานต์ทุกปีผมต้องกลับบ้านที่สุรินทร์ไปกอดท่าน ไปรดน้ำขอพรท่าน แต่2ปีแล้วที่ไม่ได้ทำแบบนั้น ลูกหลานไม่มีโอกาสได้รดน้ำดำหัวขอพรคุณตาอีกแล้ว ยิ่งหลานเล็กๆที่นั่งซ้อนท้ายไปเขารักผูกพันกับคุณตามาก ตอนนี้ก็ยังถามหาคุณตาตลอดเวลา ผมขอฝากถึงคนใช้รถใช้ถนนช่วงสงกรานต์นี้ให้ระมัดระวัง เมาไม่ขับ และจากประสบการณ์ที่ผมช่วยงานเป็นจิตอาสากู้ภัย พบมากที่สุดคือ อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ ส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุเป็นวันรุ่นวัยคึกคะนองเมาแล้วขับ โดยมักคิดกันว่าดื่มแล้วขับรถไปเพียงใกล้ๆคงไม่เป็นไร ยังไหวอยู่ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ไหวเกิดอุบัติเหตุเจ็บตาย ทั้งตัวเองและผู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยต้องมาประสบเคราะห์กรรม ทุกข์ทรมาน สุดท้ายนี้นอกจากเรื่องเมาแล้วขับก็อยากให้เข้มงวดเรื่องการดื่ม เมาบนรถด้วยเพราะกฎหมายกำหนดโทษไว้ชัดเจน จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” นายธีระศักดิ์ กล่าว