xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กเข้” สั่งตั้งทีมศึกษา หามาตรการอุ้ม “โรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่” จ่อขาดทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


โรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ อภ. ขาดทุนแน่ เหตุกำลังการผลิตยังน้อย แบกรับปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูง รองนายกฯ สั่งตั้งคณะทำงานศึกษารัฐต้องช่วยเหลืออะไรบ้าง กำชับผลิตวัคซีนให้ได้ในปี 2562

วันนี้ (23 ส.ค.) พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ว่า ขณะนี้การดำเนินการก่อสร้างตัวโรงงาน และการติดตั้งระบบสนับสนุนต่างๆ เสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างการสอบคุณภาพ (Qualification) รวมถึงเครื่องจักร เครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการผลิตได้ติดตั้งแล้ว สำหรับขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป จะเป็นขั้นตอนของการสอบระบบต่างๆ อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งระบบห้องผลิตและระบบสนับสนุนการผลิต ระบบเครื่องจักรผลิต และกระบวนการผลิตให้ทำงานสอดประสานกัน เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพตามข้อกำหนดมาตรฐาน และนำไปทดสอบทางคลินิกระยะที่ 3 เพื่อเป็นข้อมูลขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต่อไป และเมื่อโรงงานได้รับการตรวจรับรองตามมาตรฐานการผลิตที่ดี GMP (Good Manufacturing Practice) ซึ่งหากมีความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งรัดแล้ว คาดว่า ในปี 2562 ก็จะสามารถผลิตวัคซีนกระจายสู่ระบบสาธารณสุขของประเทศได้

พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องมีการลงทุนและแข่งขันสูง โรงงานแห่งนี้ยังเป็นโรงงานขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับบริษัทวัคซีนขนาดใหญ่ทั่วโลก การเริ่มผลิตวัคซีนในช่วงแรกยังเป็นการผลิตด้วยกำลังการผลิตขั้นต่ำ แล้วค่อยๆ ขยับขึ้น เพื่อความมั่นใจในด้านคุณภาพการผลิต ดังนั้น ในช่วงต้นโรงงานจะต้องแบกรับกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูง และไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ จึงจำเป็นที่จะต้องหากลไกมาช่วยแก้ปัญหานี้ เพื่อให้โรงงานสามารถดำเนินการได้ และเป็นหลักประกันความมั่นคงด้านวัคซีนของประเทศได้จริง โดยทั้งนี้ จะได้ตั้งคณะทำงานเข้ามาศึกษาดูว่า รัฐต้องให้การสนับสนุนอย่างไรบ้าง

“ขอให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันดำเนินการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่ผลิตจากโรงงานแห่งนี้ สามารถขึ้นทะเบียนและผลิตวัคซีนได้ในปี 2562 เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงด้านวัคซีน ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย สามารถผลิตวัคซีนทั้งในสถานการณ์ปกติและในภาวะฉุกเฉินที่เกิดการระบาดใหญ่ได้” พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าว

ด้าน นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผอ.อภ. กล่าวว่า โรงงานแห่งนี้จะมีศักยภาพในการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เริ่มต้นปีละ 2 ล้านโดส และสามารถขยายกำลังการผลิตได้ถึง 10 ล้านโดส และในกรณีเกิดการระบาดใหญ่ สามารถขยายกำลังการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Pandemic Influenza Vaccine) ได้ปริมาณเพียงพอต่อการใช้ของประชากรในประเทศ และภูมิภาคอาเซียนด้วย ทั้งนี้ ระหว่างนี้หากเกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนกในประเทศ โรงงานต้นแบบที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ในจังหวัดนครปฐม และ อภ. มีใบอนุญาตผลิตวัคซีนชนิดเชื้อเป็น เพื่อใช้ในการระบาดที่โรงงานต้นแบบนี้แล้ว ซึ่งถ้ามีเหตุฉุกเฉินขึ้นจริงๆ อภ. จะใช้โรงงานต้นแบบที่ ม.ศิลปากร ผลิตวัคซีนชนิดเชื้อเป็นเพื่อใช้ควบคุมสถานการณ์ได้ แต่กำลังการผลิตไม่สูงมากนัก ประมาณ 2 แสนโดสต่อเดือน จึงอาจต้องมีการพิจารณาให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงได้รับวัคซีนในช่วงแรกๆ ก่อน ดังนั้น จึงเห็นว่าการเร่งรัดให้โรงงานวัคซีนที่สระบุรีนี้ มีความพร้อมในการผลิตวัคซีนให้ได้โดยเร็วที่สุดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะที่นี่เป็นโรงงานซึ่งมีกำลังการผลิตสูงในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งจะสามารถผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในประชาชนได้ในวงกว้าง


กำลังโหลดความคิดเห็น