สธ. ตั้งสอบวินัยร้ายแรง “ข้าราชการ” ลวนลามลูกจ้างสาว ชี้คุกคามทางเพศและข่มขู่ พร้อมตั้งสอบวินัยไม่ร้ายแรง “ผู้บังคับบัญชา” เหตุทราบเรื่องแต่เพิกเฉย เผยไม่มีใครล็อบบี้ถอนแจ้งความ ด้านผู้เสียหายยังมีเครียดเล็กน้อย วิตกกังวลเรื่องความปลอดภัย
ความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระดับหัวหน้างาน ที่ลวนลามลูกจ้างสาวหลายรายมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งอยู่ระหว่างรอผลสรุปจากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เนื่องจากต้องรอการตรวจสอบกรณีมีผู้วิ่งเต้น หรือล็อบบี้ให้มีการถอนแจ้งความ และผู้บังคับบัญชาในสายงานว่า ละเลยการแก้ปัญหาหรือไม่
วันนี้ (23 ส.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวผลการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีข้าราชการ สธ. ลวนลามลูกจ้างสาว ว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้เสนอผลการสืบสวนขึ้นมาแล้ว โดยมีข้อสรุปคือ 1. ประเด็นข้าราชการชายที่กระทำการลวนลามลูกจ้างสาว คณะกรรมการมีความเห็นให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เนื่องจากมีพฤติกรรมตามที่ผู้ร้องเรียนกล่าวหาจริง และผู้ถูกกล่าวหายอมรับว่า ได้ดำเนินการในลักษณะหยอกล้อที่ไม่ค่อยเหมาะสม แต่ทำโดยไม่มีเจตนาจะลวนลามเชิงชู้สาวหรือคุกคามทางเพศ แต่คณะกรรมการเห็นว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรกระทำต่อผู้ใต้บังคับบัญชา และเป็นการกระทำในสถานที่ราชการ และอยู่ในเครื่องแบบข้าราชการ
“การกระทำดังกล่าวทำให้เกิดความไม่พอใจ อึดอัดใจ อับอาย แต่ต้องจำยอมฝืนทน ไม่กล้าต่อว่า หรือขัดขืนรุนแรง ถือได้ว่าเป็นการคุกคามทางเพศ ตามกฎคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ว่าด้วยการกระทำการอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ พ.ศ. 2553 และผู้ถูกกล่าวหามักแสดงพฤติกรรมวางอำนาจในฐานะผู้บังคับบัญชา บางครั้งได้ข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนในกรณีต่างๆ กันไป มักแสดงกิริยาอาการไม่พอใจ อารมณ์เสียในเวลาผู้ใต้บังคับบัญชาขัดใจหรือไม่ทำสิ่งที่ต้องการ คณะกรรมการจึงมีความเห็นว่า มีมูลอันควรกล่าวหาว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง” ปลัด สธ. กล่าว
นพ.โสภณ กล่าวว่า และ 2. ประเด็นข่าวมีผู้บังคับบัญชาบางคนไกล่เกลี่ยไม่ให้ผู้เสียหายดำเนินคดีอาญานั้น ไม่พบว่าผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใดไกล่เกลี่ยให้ผู้เสียหายถอนแจ้งความ แต่ประเด็นที่ผู้บังคับบัญชาทราบเรื่องแล้วไม่ดำเนินการใดๆ พบว่า ผู้บังคับบัญชาดังกล่าวทราบเรื่องมาเป็นระยะเวลาพอสมควร แต่ไม่ได้ทราบจากผู้เสียหาย จึงถือว่าผู้บังคับบัญชาทราบเรื่องแล้ว แต่ไม่ได้มีการแก้ปัญหาอย่างชัดเจน ถูกต้องตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่า พฤติการณ์เช่นนี้มีมูลอันควรกล่าวหาว่า กระทำความผิดวินัยไม่ร้ายแรง เห็นควรให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยไม่ร้ายแรงผู้บังคับบัญชาชั้นต้น
“หลังจากนี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกรณีข้าราชการที่ลวนลาม และคณะกรรมการสอบวินัยไม่ร้ายแรงฯ กรณีผู้บังคับบัญชาที่ไม่ได้ดำเนินการใดๆ โดยอาจเป็นคณะกรรมการชุดเดียวกัน ซึ่งประธานคณะกรรมการสอบสวนนั้น จะมีลำดับบัญชีรายชื่ออยู่ว่าลำดับต่อไปเป็นผู้ใด และมอบนิติกรเป็นเจ้าของสำนวน และจะเชิญกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมเป็นกรรมการ 3 - 5 คน โดยกรอบระยะเวลากำหนดอยู่ที่ 120 วันหลังประธานทราบเรื่อง ซึ่งคณะกรรมการฯ จะดำเนินการตามกฎ ก.พ.อย่างเคร่งครัด" ปลัด สธ. กล่าวและว่า สำหรับผลการสอบนั้น หากสรุปออกมาว่าเป็นวินัยร้ายแรง จะมีโทษปลดออก หรือไล่ออก หากปลดออกจะยังได้เงินบำเหน็จบำนาญ และสามารถเข้ารับราชการได้อีก แต่หากไล่ออกจะไม่ได้ทั้งหมด ส่วนการสอบวินัยไม่ร้ายแรงจะมีโทษตั้งแต่ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน และลดขั้นเงินเดือน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ถูกสอบจะต้องผิดวินัยหมดหลายครั้งเมื่อสืบพยานมากขึ้นก็อาจไม่มีผิดวินัยก็มี แต่ตนกำชับแล้วว่า ต้องทำให้โปร่งใสที่สุด
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัด สธ. กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับผู้เสียหายเพื่อดูแลในเรื่องสภาพจิตใจแล้วพบว่า ยังสามารถมาทำงานได้อยู่ แต่มีความเครียดไม่มากระดับปานกลาง เนื่องจากวิตกกังวลว่าจะถูกติดตามทำร้ายข่มขู่ แต่ไม่ได้เครียดจนถึงขั้นกระทบต่อร่างกายและจิตใจแบบรุนแรง ส่วนเรื่องความปลอดภัยได้มีคำสั่งห้ามผู้ถูกกล่าวหาเข้ามายังบริเวณอาคารที่ผู้เสียหายทำงานอยู่
นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า ผลสอบดังกล่าวถือว่า สธ.ฟังเสียงภาคประชาชน และยังโยงถึงคนที่เพิกเฉยให้ต้องถูกสอบสวนวินัยไม่ร้ายแรงด้วย แต่ก็ต้องติดตามดูว่าผลสอบวินัยจะเสร็จเมื่อไร ซึ่งโดยหลักสอบวินัยร้ายแรงต้องให้ออกจากราชการเท่านั้น ส่วนสอบวินัยไม่ร้ายแรงก็ต้องติดตามว่าจะสอบแบบไหน อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณ นพ.โสภณ เมฆธน ปลัด สธ. ที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ ทางมูลนิธิฯ ขอให้กำลังใจสธ.ต่อไปว่า ควรสร้างมาตรการทั้งการให้ความรู้ การอบรมบุคลากรเรื่องนี้ไปด้วย นอกเหนือจากหนังสือเวียนกำชับห้ามกระทำอนาจารหรือคุกคามทางเพศ แต่ควรสร้างกลไกการร้องเรียนที่เข้าถึงง่าย และโปร่งใสจริงๆ และควรมีกลไกให้การช่วยเหลือให้คำปรึกษาในส่วนของสุขภาพจิตด้วย
นายจะเด็จ กล่าวว่า อยากให้ปลัด สธ.ทำกลไกให้เป็นถาวร เพราะกังวลเรื่องกรอบระยะเวลา 120 วันในการสอบสวนวินัยไม่ร้ายแรง จะเป็นช่วงเปลี่ยนปลัด สธ.คนใหม่พอดี ซึ่งหากปลัดคนใหม่เข้ามาเราก็อยากให้ตระหนักและให้ความสำคัญเรื่องนี้ต่อจากปลัดคนปัจจุบันด้วย ซึ่งหาก สธ.ให้ความสำคัญ และสร้างกลไกอย่างถาวร ข้าราชการผู้หญิงทุกคนก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น และ สธ.จะกลายเป็นต้นแบบที่เอาผิดข้าราชการพฤติกรรมไม่เหมาะสมได้