กรมสุขภาพจิต ห่วงคนไทยใช้โซเชียลแสดง “ความแรง” มากขึ้น ทั้งโอ้อวด อิจฉา โกรธ อคติ เกลียดชัง ทั้งจาก Hate Speech และความรุนแรงเรื่องส่วนตัว แนะรู้เท่าทันสื่อคิดก่อนโพสต์ ไลก์ แชร์ ใช้หลัก 3What ช่วยหยุดปัญหา
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวในงานประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั้งที่ 16 และการประชุมสุขภาพจิตและจิตเวชเด็ก ครั้งที่ 14 ว่า “สื่อ” ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสื่อโลกออนไลน์ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ของคนในสังคมอย่างชัดเจน จนกลายเป็นประเด็นทางสังคมต่างๆ มากมาย ทั้งนี้ เนื่องจากการไม่มีตัวตนหรือมีตัวตนซ่อนเร้นในโลกออนไลน์ จึงทำให้มีอิสระในการแสดงความคิดเห็น หรือแสดง “ความแรง” ออกมามากขึ้น ทั้งความโกรธ ความโอ้อวด ความอิจฉา อคติ และความเกลียดชัง นำไปสู่ความขัดแย้งบนโลกออนไลน์
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า สิ่งที่เราสามารถทำได้ในการป้องกัน คือ การรู้เท่าทันสื่อเข้าใจสภาพของสื่อออนไลน์ว่าเป็นสังคมที่มีทั้งพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะ จึงควรมีสติทุกครั้งในการสื่อสาร หรือการแสดงความคิดเห็นต่างๆ บนโลกออนไลน์ รวมทั้งตรวจสอบที่มาของข้อมูล อย่าส่งต่อข้อมูลที่ไม่เกิดประโยชน์ ขอให้คิดทุกครั้ง ก่อนโพสต์ ก่อนไลก์ ก่อนแชร์ อาจกล่าวได้ว่าการรู้เท่าทันสื่อใหม่ ก็เหมือนกับ การรู้เท่าทันตัวเราเอง
ด้าน นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมยุคดิจิตอล ในทางลบ ไม่ใช่แค่การสร้างการหลอกลวง แต่กลับกลายเป็นการสร้างความเกลียดชังร่วมด้วย ซึ่งพบว่า ความรุนแรงบนโลกออนไลน์จะมีทั้ง Hate Speech คือ การสร้างความแตกต่างที่มีผลต่อยอดไปสู่ความรุนแรงได้ เช่น เรื่องของเพศภาพ เชื้อชาติ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง คนพิการ ส่วนใหญ่จะเป็นบริบททางสังคม และ Blame Speech คือการสร้างความรุนแรงในเรื่องส่วนตัว เช่น กรณี กราบรถกู ดังนั้น การสร้างพลเมืองสื่อดิจิทัล (Digital Citizenship) จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งต้องประกอบไปด้วย การไม่ขยายความรุนแรง จาก Hate Speech โดย ใช้หลัก 2 ไม่ 1 เตือน ได้แก่ ไม่สื่อสารทางลบ ไม่ส่งต่อ และเตือนด้วยถ้อยคำที่สุภาพ รวมทั้งให้ข้อมูลที่น่ารับฟัง
“ขณะที่ Blame Speech ซึ่งทำให้เกิดสังคมดรามาเหมือนเช่นทุกวันนี้ ให้ใช้หลักเดินหน้า 3 What ได้แก่ What, So What, What Next หมายถึง อย่าหยุดอยู่แค่ What เกิดอะไรขึ้นแบบที่เรียกว่าดรามา ซึ่งทุกวันนี้เรามักจะสนใจอยู่เพียงตัว What หรือตัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น เราจึงควรก้าวไปสู่ So What ในการเข้าใจสาเหตุว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น เพราะสาเหตุเหล่านั้นอาจเกิดกับเราได้ทุกคนเป็นความเครียดหรือการเลี้ยงดูในครอบครัว และท้ายสุด What Next หาแนวทางเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นทั้งในระดับบุคคล ครอบครัวและสังคม” นพ.ยงยุทธ กล่าว