สธ. ชี้ ยังไม่มีหลักฐาน “บุหรี่ไฟฟ้า” ช่วยคนเลิกสูบบุหรี่ได้ แต่มีสารเสพติดและอันตรายเหมือนบุหรี่ทั่วไป เป็นจุดเริ่มต้นการเสพติดอื่นๆ เตือนวัยโจ๋อย่าลอง กระทบต่อสุขภาพ
วันนี้ (25 ก.ค.) นพ.สุเทพ เพชรมาก รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่นไทย เหตุเพราะรูปลักษณ์และองค์ประกอบที่ดึงดูดใจให้วัยรุ่นหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้า และเกิดกระแสการเลียนแบบในกลุ่มเพื่อนอย่างรวดเร็ว ทางกรมควบคุมโรค ขอให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่า บุหรี่ไฟฟ้าช่วยคนเลิกสูบบุหรี่ได้ ที่สำคัญในบุหรี่ไฟฟ้าก็มีสารพิษต่างๆ โดยเฉพาะสารนิโคตินเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ปกติทั่วไป ซึ่งมีอันตรายและส่งผลกระทบต่อสุขภาพเหมือนกัน ทั้งนี้ ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเมื่อสูดเข้าสู่ปอดแล้ว ไม่ใช่มีเพียงไอน้ำกับสารนิโคตินเท่านั้น แต่ยังมีสารเคมีอีกมากมายที่ใช้ในขบวนการผลิตและปรงุแต่งกลิ่นรส และสารเคมีหลายชนิดเป็นอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย รวมทั้งมีสารก่อมะเร็งด้วย นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นจุดเริ่มต้นในการเสพติดบุหรี่ หรือสารเสพติดประเภทอื่นๆ ในเด็กและเยาวชนด้วย
นพ.สุเทพ กล่าวว่า จากผลสำรวจการบริโภคยาสูบในเยาวชนไทย อายุ 13 - 15 ปี ครั้งล่าสุดในปี 2558 สำรวจพบว่าเยาวชนชายสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึงร้อยละ 4.7 และเยาวชนหญิงสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึงร้อยละ 1.9 ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้รัฐบาลปัจจุบัน จึงออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2557 เรื่อง กำหนดให้บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า และบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ซึ่งหากมีผู้ฝ่าฝืนนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามายังประเทศไทย จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบสินค้าเหล่านั้น รวมถึงพาหนะที่ใช้บรรทุกสินค้านั้นด้วย และคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ฉบับที่ 9/2558 ห้ามขาย หรือห้ามให้บริการสินค้า บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีโทษสำหรับผู้ขาย ผู้ให้บริการ โดยจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากผู้ฝ่าฝืนเป็นผู้ผลิต ผู้สั่ง ผู้นำเข้าเพื่อขาย จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นพ.สุเทพ กล่าวว่า ประเทศไทยได้ประกาศใช้แผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ เพื่อเป็นกลไกในการควบคุมยาสูบของประเทศ และเสริมพลังความเข้มแข็งให้กับมาตรการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันใช้แผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่สอง พ.ศ. 2559 - 2562 โดยสถานการณ์การบริโภคยาสูบในประเทศไทยล่าสุด ปี 2559 พบว่า ประชากรตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป มีจำนวน 54.8 ล้านคน สูบบุหรี่ร้อยละ 19.9 ซึ่งเป้าหมายในการดำเนินงานปี 2560 - 2564 นี้ ความชุกของการสูบบุหรี่ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปต้องไม่เกินร้อยละ 16 หรือไม่เกิน 8.8 ล้านคน เพื่อให้อัตราการบริโภคยาสูบภาพรวมของประเทศไทยมีสถิติลดลงอย่างต่อเนื่อง
“ขอให้เด็กและเยาวชน ตระหนักถึงอันตรายต่อสุขภาพเมื่อสูบบุหรี่และผลกระทบต่อสุขภาพของคนรอบข้าง ที่สำคัญ ต้องรู้เท่าทันกลยุทธ์ของบริษัทผู้ผลิต ที่พุ่งเป้าการตลาดไปที่เด็กและเยาวชน ทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์ และรูปแบบช่องทางส่งเสริมการขาย รวมทั้งการให้ข้อมูลที่บิดเบือนถึงผลกระทบต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม หากประชาชนอยากเลิกบุหรี่ ให้โทร.ปรึกษาศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ หมายเลข 1600 และมีคลินิกที่ให้บริการเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข” รองอธิบดี คร. กล่าว