xs
xsm
sm
md
lg

กม.ไทยจำกัดสิทธิ “เพศทางเลือก” ทั้งคำนำหน้า-งาน-ชีวิตคู่ แนะออก พ.ร.บ.รับรองเพศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


อาจารย์ มธ. ชี้ กม. ไทยไม่รับรองสิทธิเพศทางเลือก 3 ประเด็น ทั้งคำนำหน้า ความเท่าเทียมการทำงาน ชีวิตคู่และครอบครัว ส่งผลใช้สิทธิแทนคู่ รับบุตรบุญธรรมไม่ได้ แนะคลอด พ.ร.บ. รับรองเพศ ช่วยแก้ปัญหาพื้นฐาน สังคมยอมรับมากขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ

วันนี้ (25 ก.ค.) ผศ.ดร.มาตาลักษณ์ ออรุ่งโรจน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวในเวทีเสวนาหัวข้อ “สิทธิเพศทางเลือก กับจุดยืนในประเทศไทย สังคม กฎหมาย การทำงาน” ว่า ปัจจุบันสังคมไทยมีการเปิดเผยของเพศทางเลือกมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศ และในโลก หลากหลายประเทศได้เล็งเห็นถึงปัญหาด้านความไม่เท่าเทียม และพิจารณาหาแนวทางแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกฎหมาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นบรรทัดฐานที่ยอมรับโดยทั่วไป แต่ประเทศไทยยังมีปัญหากฎหมายไม่รองรับสิทธิของความหลากหลายทางเพศ 3 ประเด็น คือ 1. คำนำหน้าในเอกสารสำคัญ เป็นปัญหารากฐานที่นำมาสู่ประเด็นพื้นฐานการใช้ชีวิต และการไม่มีที่ยืนในสังคมที่ชัดเจน ซึ่งการประกาศใช้ พ.ร.บ. รับรองเพศ จะเป็นการแก้ปัญหาพื้นฐาน โดยเพศทางเลือกที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กฎหมายระบุไว้นั้น จะสามารถเลือกใช้คำนำหน้าได้ตามเพศวิถี และจะได้รับผลตามกฎหมายของเพศนั้นๆ โดยการเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อนี้ ยังถือเป็นการลดปัญหาความไม่ยอมรับด้านสังคมอีกทางด้วย

ผศ.ดร.มาตาลักษณ์ กล่าวว่า 2. พ.ร.บ. ความเท่าเทียมด้านการทำงานกับทัศนคติของคนในสังคม สืบเนื่องจากประเด็นคำนำหน้าในเอกสารสำคัญ ทำให้เกิดปัญหาความไม่เท่าเทียมในสังคมการทำงาน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในปัจจุบันมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ความเท่าเทียมด้านการทำงาน ที่รองรับในประเด็นดังกล่าวอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว แต่การประกาศใช้ พ.ร.บ. รับรองเพศ จะเป็นการแก้ไขประเด็นข้างต้นให้มีความครอบคลุม และช่วยลดความไม่เท่าเทียมของ พ.ร.บ. ความเท่าเทียมด้านการทำงานได้มากขึ้น และ 3. กฎหมายรับรองครอบครัว กฎหมายการจดทะเบียนสมรสกับการใช้ชีวิตครอบครัว ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่นำไปสู่การเรียกร้องสิทธิของกลุ่มเพศทางเลือกทั่วโลก โดยกฎหมายที่ไม่รองรับการใช้ชีวิตคู่ของเพศทางเลือก ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ด้านกฎหมายมากมาย เช่น การใช้สิทธิแทนคู่สมรส, การรับรองสิทธิหากคู่สมรสเสียชีวิต, รวมไปถึงการรับบุตรบุญธรรม เมื่อมีการรับรองถึงคู่สมรสของเพศทางเลือก จะช่วยปรับทัศนคติของคนในสังคม ทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นที่ยอมรับมากขึ้น

“หาก พ.ร.บ. รับรองเพศ ไม่ได้ถูกประกาศใช้ในประเทศไทย สิ่งที่ภาครัฐบาลควรเล็งเห็น คือ การเปิดเผยและการเติบโตขึ้นของจำนวนประชากรเพศทางเลือกในไทย และปัญหาต่างๆ ด้านสิทธิความไม่เท่าเทียมของประชากรเพศทางเลือก ทั้งในด้านการใช้ชีวิตประจำวัน, ความไม่เท่าเทียมในการทำงาน และด้านการสมรสและการใช้ชีวิตครอบครัว ที่ทางภาครัฐควรหาแนวทางเพื่อตอบสนองการดูแลประชากรอย่างครอบคลุม ประกอบกับหามาตรการรองรับกับการเปิดกว้างที่เพิ่มมากขึ้นของกระแสโลก และกฎหมายของประเทศไทยที่ สวนทางกับภาพลักษณ์ ของประเทศจากสายตาของชาวต่างชาติที่มองประเทศไทยเป็นหนึ่งในแดนในฝันของเพศทางเลือก” ผศ.ดร.มาตาลักษณ์ กล่าว

ด้าน นายวิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรม กล่าวว่า ช่วงเวลาที่ตนยังเป็นวัยรุ่น การแสดงออกของเพศทางเลือกยังไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมมากนัก ทุกอย่างถูกปิดกั้น และมีความไม่เท่าเทียมสูง ทั้งในแง่ของการเรียนและการทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ ที่ต้องแต่งกายให้ตรงตามเพศสภาพ หรือแม้กระทั่งบุคลากรที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติ ก็ถูกกีดกันไม่ให้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ เพราะเกรงว่าจะชักจูงลูกศิษย์ให้มีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศ แต่ในปัจจุบันสังคมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก มีการเปิดกว้างมากขึ้น และชี้วัดบุคคลที่ความสามารถมากกว่าเพศสภาพ แต่ยังมีบางบริบทที่ยังไม่ได้เปิดรับมากนัก ซึ่งหาก พ.ร.บ. รับรองเพศ ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบในทุกขั้นตอน และถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้ว ตนมองว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมทางเพศที่เคยเกิดขึ้นจะหมดไป และอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายของคนในสังคมอย่างเป็นสุข

นายชวิน ศรีสมวัฒน บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. ในฐานะเพศทางเลือกคลื่นลูกใหม่ กล่าวว่า ตนค่อนข้างโชคดีที่ตลอดการเรียน 4 ปีการศึกษาที่ มธ. มีเสรีภาพในการแสดงออกทางเพศ ทั้งการแต่งกายในชุดนักศึกษาหญิงเข้าเรียน และการสวมชุดครุยรับปริญญา ซึ่งทำให้ตนรู้สึกเท่าเทียม และไม่ได้แปลกแยกจากเพื่อนคนอื่น แต่ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ก็ได้รับผลกระทบในบางบริบทของสังคม เมื่อต้องสัมภาษณ์เพื่อเข้าฝึกงานบริษัทแห่งหนึ่ง แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า นโยบายของบริษัทไม่รับบุคคลที่แต่งกายตรงข้ามกับสถานภาพทางเพศ จึงทำให้ตนต้องหาที่ฝึกงานใหม่ ซึ่งหาก พ.ร.บ. รับรองเพศได้ผ่านการอนุมัติ และดำเนินการใช้จริงแล้ว โดยส่วนตัวมองว่า ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญยิ่งในการทลายกำแพงของความเหลื่อมล้ำให้เบาบางลง เกิดความเข้าใจที่ดีและยอมรับในความแตกต่างของแต่ละบุคคล รวมถึงไม่ตัดสินบุคคลอื่นเพียงแค่เพศสภาพ
กำลังโหลดความคิดเห็น