รมว.สธ. เสียใจเหตุเด็ก 15 ปี รอคิวเสียชีวิต เหตุเป็นโรคหายาก พบไม่บ่อย ขออย่าวิตก “รอคิวจนตาย” พร้อมปรับปรุงระบบบริการให้เร็วขึ้น ขอ ปชช. เข้าใจจำนวนบุคลากรน้อย แต่ภาระงานมาก
จากกรณีดรามาเด็กชายวัย 15 ปี มารักษาพยาบาลด้วยอาการปวดท้อง โดยญาติร้องว่าบุคลากรทางการแพทย์ปล่อยให้รอจนเกิดภาวะช็อกแล้วเสียชีวิต โดยสาเหตุมาจากอาการเส้นเลือดใหญ่โป่งพองในช่องอกแตก ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการรอคิวรักษาในโรงพยาบาล
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม โรคที่เป็นนั้นเกิดขึ้นได้ยาก และไม่ได้พบได้บ่อย บางครั้งในชีวิตของแพทย์บางคนอาจไม่พบเลย จึงไม่อยากให้ประชาชนมองเป็นตัวอย่าง ว่า หากรอนานจะมีผลเสีย เพราะระบบของการแพทย์ทั่วโลกทุกคนต้องรอคิว แต่สิ่งที่สำคัญคือกระบวนการคัดกรอง ซึ่ง สธ. ได้ดำเนินการในเรื่องนี้ โดยเมื่อไปถึงสถานบริการก่อนที่จะมีการตรวจก็จะมีการวัดความดัน ตรวจชีพจร หากพบความผิดปกติ ก็จะมีการคัดกรองว่า มีความเร่งด่วนมากน้อยหรือพอนั่งรอได้ เป็นต้น
“ผมไม่อยากให้ประชาชนวิตกกังวล ว่า การไปนั่งรอจะต้องเกิดกรณีลักษณะนี้ทุกราย เพราะต้องดูที่อาการมากกว่า และระบบของเราก็มีการคัดกรองก่อน บางครั้งก็จะมีพยาบาลมาคอยสอบถาม อย่างไรก็ตาม หากนั่งรอแล้วเกิดมีอาการไม่พึงประสงค์ก็น่าจะมีช่องทางให้สามารถไปบอกกับเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องเข้าใจกันซึ่งกันและกัน เนื่องจากทุกฝ่ายอยากได้รับบริการที่รวดเร็วและดีที่สุด แต่ก็ต้องเข้าใจในจำนวนของเจ้าหน้าที่ด้วย” รมว.สธ. กล่าว
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า จากกรณีที่เกิดขึ้น สธ. พร้อมที่จะปรับปรุงให้ระบบบริการให้ดีขึ้น ซึ่งทุกโรงพยาบาลกำลังหาทางแก้ไข ทั้งเรื่องการเข้าพบแพทย์และได้รับการตรวจที่เร็วที่สุด โดยขณะนี้มีการพัฒนาหลายรูปแบบ อาทิ กระจายระบบการตรวจไม่ให้มากระจุกที่โรงพยาบาลจังหวัดหรือโรงพยาบาลศูนย์อย่างเดียว โดยตั้งคลินิกหมอครอบครัว ซึ่งตั้งเป้าว่าภายใน 10 ปี จะมีคลินิกหมอครอบครัวรอบโรงพยาบาลขนาดใหญ่สามารถดูแลคัดกรองได้อย่างรวดเร็ว หากมีปัญหาต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่ก็สามารถส่งได้โดยตรง ส่วนระบบนัดหมายก็จะใช้เทคโนโลยีที่ทำให้มีความรวดเร็วมากขึ้นเช่นเดียวกับระบบจ่ายยา ซึ่งตนเชื่อว่าโรงพยาบาลทุกสังกัด พยายามที่จะทำให้ประชาชนได้รับการดูแลที่ดีที่สุด
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัด สธ. ในฐานะโฆษก สธ. กล่าวว่า ต้องขอแสดงความเสียใจกับทางครอบครัว ส่วนในเรื่องกระบวนการตรวจรักษาของโรงพยาบาลพระจอมเกล้า สธ. ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะเป็นนโยบายของ สธ. ที่อยากให้ประชาชนได้รับบริการที่ดี มีคุณภาพ และได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วมากที่สุด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพบว่ามีการสูญเสีย สธ. ไม่อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งต้องพยายามหาสาเหตุและหาทางแก้ไขต่อไป โดย สธ. ได้มีการตั้งคณะกรรมกรสอบข้อเท็จจริงแล้วว่าการรักษาเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งจะทราบผลภายใน 2 - 3 วัน ส่วนเจ้าหน้าที่ก็น่าเห็นใจ เพราะว่าทำงานหนักอยู่แล้ว
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตทราบว่าเกิดจากเส้นเลือดใหญ่แตก ซึ่งถือเป็นกรณีที่พบได้น้อยและวินิจฉัยได้ยาก ทั้งยังเกิดขึ้นในเด็กที่พบได้น้อยมากประมาณ 3 - 5 คนต่อประชากรล้านคน และส่วนมากพบในผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูงมาก่อน เป็นกลุ่มไขมันพอกเส้นเลือดทำให้เส้นเลือดเปราะบาง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม โรคนี้ต้องใช้เครื่องมือที่พิเศษ หรือเครื่องสแกนคอมพิวเตอร์ที่จะทำให้เห็นแบบสามมิติ ไม่สามารถตรวจได้ด้วยวิธีปกติได้ อย่างไรก็ตาม สธ. มีความเป็นห่วงและเห็นถึงความสำคัญในการตรวจวินิจฉัยให้รวดเร็วขึ้น โดยจะมีการกำชับเป็นพิเศษ ทั้งนี้อยากขอความรวมมือประชาชนให้บอกอาการให้ละเอียดทุกครั้งเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถให้การรักษาที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น ส่วนการช่วยเหลือและการเยียวยานั้นเป็นไปตามมาตรา 41 ของพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ขณะที่ทางโรงพยาบาลก็จะมีการช่วยเหลืออีกทางหนึ่งด้วย
“อยากขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบการให้บริการของ สธ. เพราะแต่ละปีมีการให้บริการประชาชนทั่วประเทศกว่า 100 ล้านคนต่อปี มีการให้บริการเต็มที่ ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะมีจำกัด การรอคอยมีบ้างแต่ทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีการจัดลำดับความสำคัญให้ อยากให้ประชาชนร่วมมือกันช่วยกัน ความเร่งด่วนใครก็อยากได้แต่เราต้องดูตามความเร่งด่วนของโรค ที่มีวิธีการดูแลทางการแพทย์ดูแลอยู่แล้ว แต่หากเจ้าหน้าที่ทอดทิ้งละเลยประชาชนเรายอมไม่ได้ ส่วนเรื่องการรอทุกคนไปโรงพยาบาลเราก็เห็นใจที่ไม่สบายแล้วต้องไปรอ และเจ้าหน้าที่ก็ให้การดูแลเต็มที่อยู่แล้วอยากให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ด้วย” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว