หลังจากที่ลูกชายคนโต นายสรวง สิทธิสมาน หรือเฉินเทียนอี้ ณ เซี่ยงไฮ้ สอบเสร็จและได้ผลคะแนนเป็นที่น่าพอใจ ก็เลยบอกพ่อแม่ว่าอยากให้รางวัลตัวเองโดยการไปท่องโลกกับเพื่อนชาวต่างชาติ และหวงซาน คือเป้าหมายของหนุ่มสาวที่เลือกไปชมสุดยอดภูเขาที่มีความงดงามของธรรมชาติอย่างมาก และกลายมาเป็นบทความชิ้นนี้
……………………………………………………………..
"五岳归来不看山,黄山归来不看岳"
“อู่เยว่กุยหลายปู๋ค่านซาน หวงซานกุยหลายปู๋ค่านเยว่”
“ไป 5 ภู กลับมาไม่มองภูเขา ไปหวงซานกลับมาไม่มอง 5 ภู”
หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ที่เซี่ยงไฮ้มาจนจะครบ 4 เดือนแล้ว มีความรู้สึกอยากออกไปเปิดหูเปิดตานอกเมืองบ้าง ประกอบกับประเทศจีนมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมาย แต่สำหรับฤดูหนาวในเดือนธันวาคมนี้ผมเลือกที่จะไป 黄山หวงซาน หรือ Yellow mountain มณฑลอันฮุย ซึ่งนอกจากจะขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในภูเขาที่สวยที่สุดในประเทศจีนดังคำขึ้นต้นที่ผมอ่านเจอในโลกออนไลน์แล้ว ในเดือนธันวาคมก็เป็นจุดพีคที่ว่ากันว่าสวยที่สุดแห่งปี และที่สำคัญยังอยู่ไม่ไกลจากเซี่ยงไฮ้ด้วย ผมจึงเริ่มชวนเพื่อนและเช็คสภาพอากาศ เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทาง
ผมเลือกที่จะลาหยุดเรียนหลังจากสอบเสร็จ และเดินทางในวันธรรมดา ระหว่าง 13 – 15 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยไปลาเหล่าซือ และเดินทางกับบริษัททัวร์ เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่กะทันหันมาก ทำให้ไม่มีเวลาเตรียมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก อีกทั้งภาษาจีนก็ยังไม่แข็งแรงเพียงพอ ประสบการณ์ในการท่องเที่ยวแบบแบ็คแพคเกอร์ก็ยังค่อนข้างน้อย การซื้อทัวร์ราคาค่อนข้างประหยัดจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในตอนนี้
ผมซื้อแพ็คเกจทัวร์ก่อนออกเดินทางเพียง 2 วันเท่านั้น นับว่าเป็นการเตรียมตัวไปเที่ยวที่ใช้เวลาสั้นที่สุดในชีวิตผมเลยก็ว่าได้
ที่ว่าค่อนข้างประหยัดก็เพราะครั้งนี้เดินทางโดยรสบัส ใช้เวลา 5 ชั่วโมง ทั้งที่มีรถไฟความเร็วสูงประหยัดเวลาเดินทางไปกว่าครึ่ง แต่สำหรับวันนี้ที่ยังมีเรี่ยวแรงอยู่ ขอเลือกประหยัดเงินก่อนดีกว่า
13/12/16
ผมตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในเวลาตีห้า และใช้เวลา 5 ชั่วโมงกว่า ๆ บนรถบัส
ตอนอยู่ที่เมืองไทยก็เคยเห็นความชุลมุนของทัวร์จีนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ มาบ้างแล้ว ใน วันนี้เจอทัวร์จีนในแผ่นดินจีนท่ามกลางคนจีน ก็ไม่ต่างกันนัก มีข้อน่าสังเกตอยู่อย่างว่าประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาล คนจีนก็มากมายเหลือคณานับ สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ แค่รองรับคนจีนจากต่างเมืองต่างมณฑลที่ไม่เคยมาชม ก็แทบจะรับไม่ไหวแล้ว เราจึงพยายามเลือกวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุด
เมื่อนั่งรถมาถึงที่หมายแล้ว เราก็ต้องเปลี่ยนรถ ไปขึ้นรถประจำทางสำหรับขึ้นเขาโดยเฉพาะ และยังต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปอีก
แต่โชคร้ายเพราะเมื่อขึ้นไปถึงบนเขาแล้วมองไม่เห็นวิวเลย เนื่องจากหมอกลงหนามากจนไม่สามารถมองเห็นได้ไกลกว่าระยะ 50 เมตร แถมยังฝนตกอีก ยิ่งทำให้บรรยากาศบนหวงซานแย่เลยทีเดียวทั้งที่ตรวจสอบสภาพอากาศมาไว้ก่อนแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ลมจะเปลี่ยนทิศ ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของธรรมชาติ
เราเดินเท้ากันท่ามกลางหมอกและฝนประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงที่พักโดยไม่เห็นวิวเท่าไหร่ รูปที่ถ่ายออกมาก็ไม่ค่อยจะสวย สำหรับวันแรกถือว่าผิดหวังเล็กน้อย ไม่เป็นไรยังมีพรุ่งนี้ให้ตั้งความหวังไว้ก่อน....
14/12/16
เคยได้ยินคำกล่าวว่าฟ้าหลังฝนมักจะสดใส เรารีบตื่นกันตั้งแต่ตีห้าเพื่อแต่งตัวมาดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่เมื่อออกมาจากโรงแรม เราก็พบว่ายังคงมีหมอกอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะไม่หนาเท่าเมื่อวานและไม่มีฝนตก แต่ก็ไม่สามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ แถมอากาศในก็หนาวลงมากถึง -5 องศาเซลเซียสอีกต่างหาก
พวกเรารู้สึกท้อแท้ ได้แต่บ่นว่ามาครั้งนี้เสียเที่ยวมาก เนื่องจากว่าความตั้งใจที่จะมาเที่ยวครั้งนี้ คือการได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน แต่กลับพลาด……
แต่เมื่อผ่านไปได้สักพัก ก็เริ่มมีลมพัดมา และค่อยๆ แรงขึ้นเรื่อย พัดจนหมอกหนาเริ่มจางลง เผยให้เห็นความงดงามของภูเขาแห่งนี้ที่กล่าวกันว่าเมื่อมาเห็นแล้วจะลืมภูเขาลูกอื่น ทำเอารู้สึกขนลุกกับภาพที่ได้เห็น ผมหยิบโทรศัพท์ของผมขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาใว้ แต่ทว่าความสวยงามของภูเขาแห่งนี้ในรูปภาพนั้นเทียบไม่ได้กับการมองด้วยตาตัวเองเลย พวกเราทั้งหมดรวมถึงผู้ร่วมเดินทางในกรุ๊ปทัวร์นี้ทั้งหมดต่างถูกแช่แข็งเอาใว้โดยความสวยงามของภูเขาหวงซาน
ความสงบ ณ วินาทีนั้นยิ่งทำให้ผมขนลุก ราวกับว่าเวทย์มนต์มีอยู่จริง
ความคิดที่ว่ามาเสียเที่ยวสลายไปพร้อมกับหมอกที่จางลง
ในระหว่างที่ใช้เวลาเดินอยู่บนเขานี้ราวๆ 4-5 ชั่วโมง เราเหมือนอยู่ท่ามกลางเมืองลอยฟ้าที่เมฆหมอกปกคลุมตามเชิงเขาจนมองไปไม่เห็นเมืองข้างล่าง ให้ความรู้สึกเหมือนกับอยู่บนสวรรค์
พวกเราถ่ายรูปเล่นกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นจึงลงเขามาเพื่อหาที่พักสำหรับคืนนี้
15/12/16
วันนี้เป็นวันกลับบ้าน แต่ระหว่างทางไกด์ได้พาไปแวะเมืองเก่าแห่งหนึ่งที่มีชิอว่า宏村หงชุน ซึ่งเป็นหมู่บ้านโบราณมีประวัติมากกว่า 1,800 ปี และอยู่ในมณฑลอันฮุยเช่นกัน ภายในหมู่บ้านก็มีร่องรอยการใช้ชีวิตของคนจีนสมัยโบราณ ทั้งโรงเรียน ร้านยา และร้านค้าต่าง ๆ ในสมัยนั้น ทั้งยังมีรูปวาด ศิลปะ ประติมากรรมในสมัยนั้น แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัฒนธรรมจีนที่งดงามไม่แพ้ชาติใดในโลกเลยทีเดียว
หลังจากนั้นก็แวะซื้อขนมและของฝากกันนิดหน่อยก่อนที่จะเดินทางกลับสู่เซี่ยงไฮ้
หากจะมีปัญหากับทริปนี้อยู่บ้าง ถ้าไม่นับเรื่องของสภาพอากาศในวันแรกแล้ว ก็คือเรื่องอาหารการกิน เพระนอกจากจะแพงแล้วยังไม่ค่อยถูกปาก แต่ก็คงเป็นเรื่องปกติธรรมดา เนื่องจากการขนส่งของขึ้นไปบนเขาเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแพงไปหมด แพงกว่าปกติราว ๆ สามถึงสี่เท่าเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ชานมร้อนสำเร็จรูปที่แพงถึง 15 หยวน คิดเป็นเงินไทยก็ 75 บาท ทั้งที่ปกติแล้วแค่ 2 หยวน หรือราว 10 บาทเท่านั้น
แต่เมื่อนึกถึงวินาทีที่หมอกสลายตัวทำให้เราเห็นภาพสวรรค์บนดินเหมือนต้องมนต์สะกด เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป
นอกจากความงามปานสวรรค์บนดินที่ได้ประจักษ์แก่สายตาและสัมผัสด้วยจิตวิญญาณแล้ว ทริปนี้ยังได้ให้ประสบการณ์กับผมในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการเที่ยวในทัวร์เดียวกับคนจีนที่แม้จะไม่ค่อยสงบนักแต่ก็สนุกดีไปอีกแบบ แถมยังได้ฝึกใช้ภาษาจีนแท้ในชีวิตจริงนอกห้องเรียน
ความงดงามของหวงซานประทับแน่นเป็นความทรงจำดี ๆ ที่ทำให้ผมรักในการท่องเที่ยวและรักธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งความประทับใจต่อประเทศจีน
ประเทศจีนที่กว้างใหญ่ไพศาลยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายที่ผมคาดหวังว่าจะไปเปิดหูเปิดตาอีก ถ้ามีโอกาสจะเขียนมาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ