โดย...รศ.นพ.ภฤศ หาญอุตสาหะ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ เอ็นซีดี (NCDs) กำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นปัญหาสำหรับทั่วโลก สำหรับประเทศไทยมีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้นจนอาจทำให้ประเทศต้องมีความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 200,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีความสำคัญอย่างมาก คือ โรคเบาหวาน ที่อาจเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ต่อหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดเล็กได้หากว่าไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
ทั้งนี้ “เบาหวาน” จัดเป็นโรคหนึ่งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอันเป็นสาเหตุหนึ่ง ของโรคจอประสาทตา ที่ส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลกจากการคาดการณ์เชื่อว่าจำนวนของผู้ป่วยเบาหวานจะเพิ่มจาก 285 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2553 เป็น 439 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2573 ทั้งยังพบว่าในปี พ.ศ. 2573 กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีความชุกของโรคเบาหวานเพิ่มเป็น 8.4% และกลุ่มประเทศแปซิฟิกตะวันตก 5% จึงอาจเป็นไปได้ว่าในกลุ่มคนเหล่านั้นจะสามารถประสบกับโรคแทรกซ้อนผ่านทางดวงตาได้หากว่าไม่มีการดูแลและรักษาตนเองเป็นอย่างดี
สำหรับภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสูญเสียการมองเห็น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. เบาหวานขึ้นจอประสาทตาชนิดไม่มีเส้นเลือดงอกใหม่ และ 2. เบาหวานขึ้นจอประสาทชนิดมีเส้นเลือดงอกใหม่ ซึ่งระดับการสูญเสียการมองเห็นนอกจากจะขึ้นอยู่กับระดับของเบาหวานขึ้นจอประสาทตาแล้วยังอาจเกิดจากภาวะจุดภาพชัดบวมด้วย โดยจุดภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอประสาทตานี้ยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีการมองเห็นลดลง และรองลงมาคือภาวะเลือดออกในน้ำวุ้นตา ซึ่งทั้งสองสาเหตุนี้ สามารถเรียกรวมกันได้ว่า ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาที่คุกคามการมองเห็น
จากผลการวิเคราะห์จากงานวิจัย 35 ฉบับ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 22,000 คนทั่วโลก เผยให้เห็นว่า มีความชุกของการเกิดเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในระดับต่างๆ ได้แก่ ระดับเบาหวานขึ้นจอประสาทตาที่มีเส้นเลือดงอกใหม่ประมาณ 6.96% ในขณะที่จำนวนกว่า 6.81% อยู่ในระดับจุดภาพชัดบวมจากเบาหวาน และคิดเป็นจำนวนถึง 10.2% เป็นผู้ป่วยในระดับของเบาหวานขึ้นจอประสาทตาที่คุกคามการมองเห็น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันนี้มีผู้คนจำนวนมากที่มีการมองเห็นลดลงและกลายเป็นผู้พิการทางการมองเห็นตามกฎหมาย อันมีสาเหตุหลักมาจากภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาที่คุกคามการมองเห็นและจุดรับภาพชัดบวมนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยจุดภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ยังสามารถทำได้โดยการใช้ลักษณะทางคลินิกเป็นหลัก และอาศัยการฉีดสารเรืองแสงรวมถึงการถ่ายภาพด้วยเครื่องตรวจวิเคราะห์จอประสาทตา แม้ในสมัยก่อนการยิงเลเซอร์จอประสาทตาจะถือเป็นวิธีการรักษาหลักของภาวะจุดภาพชัดบวมจากเบาหวาน แต่ในปัจจุบันได้มีการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการการเกิดโรคจุดภาพชัดบวมจากเบาหวานมากขึ้น จึงทำให้วิธีการรักษามีความก้าวหน้ามากขึ้นจนนำมาสู่การใช้วิธีการฉีดยาในกลุ่ม Anti-vascular endothelial growth factor (Anti-VEGF) เข้าน้ำวุ้นตาแทน โดยในระยะแรกจำเป็นต้องฉีดทุกเดือนและลดลงเป็นฉีดเฉพาะเมื่อผู้ป่วยเริ่มมีอาการของโรค สำหรับในบางกรณีอาจใช้การฉีดยาสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เข้าน้ำวุ้นตาเพื่อการรักษาก็เป็นได้ นอกจากนี้ ยังมีการยิงเลเซอร์ที่ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการรักษาทั้งในรูปแบบของวิธีการหลัก และวิธีการเสริมที่ต้องใช้คู่กับการรักษาในรูปแบบอื่นๆ
เพื่อให้เกิดการรักษาจุดภาพบวมจากเบาหวานขึ้นจอประสาทตาที่ได้ผลดีนั้น จำเป็นอย่างยิ้งที่ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดควบคู่ไปกับการรักษาความดันโลหิตและไขมันในเลือด การออกกำลังกายเป็นประจำ การควบคุมน้ำหนัก โดยควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้รักษาอย่างใกล้ชิด รวมจนถึงการเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กถึงอัตราความเสี่ยงจากเบาหวานขึ้นจอประสาทตาอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน