เตรียมส่งร่าง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ เข้า สนช.พิจารณาต่อ ยันช่วยลดการสูบของเยาวชนลงได้ บังคับบริษัทนำเข้าต้องทำรายงานประจำปี ยันไม่กระทบชาวไร่ยาสูบ ด้านเครือข่ายยุวทัศน์ฯ ขอบคุณ ครม.ผ่าน กม. หลังรอมากว่า 5 ปี เครือข่ายผู้ปกครองปลื้มน้อมนำพระราชดำรัสในหลวงมาปฏิบัติ ปกป้องเด็กเยาวชนจากภัยบุหรี่
วันนี้ (27 ต.ค.) นพ.สุเทพ เพชรมาก รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. ... ว่า หลังจากนี้จะส่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้ร้อยละ 80 มีการกำหนดไว้ในฉบับเก่าอยู่แล้ว จะมีเพิ่มเข้ามาเพียงการกำหนดอายุผู้ซื้อจากอายุ 18 ปี เพิ่มเป็น 20 ปี และห้ามจำหน่ายบุหรี่แยกมวน ซึ่งจะช่วยแยกเยาวชนออกจากการเข้าสู่วงจรนักสูบหน้าใหม่ได้ ด้วยการกำหนดอายุที่มากขึ้นและการต้องซื้อทั้งซอง เพราะส่วนมากเยาวชนมีกำลังซื้อแค่เป็นมวน ไม่สามารถซื้อทั้งซองได้ ที่ผ่านมามีการปฏิบัติกันมาระยะหนึ่งแล้ว เพียงแค่ยังไม่ระบุไว้ในกฎหมาย ต่อไปจะต้องเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง
“ในร่างกฎหมายยังมีการกำหนดให้บริษัทบุหรี่มีการทำรายงานประจำปี ที่ผ่านมาบริษัทในไทยทำอยู่แล้ว แต่บริษัทที่นำเข้าจากต่างประเทศยังไม่ทำ ต่อไปจะได้มีการกำหนดในกฎหมายให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และอีกเรื่องคือการกำหนดห้ามสูบบุหรี่ในสถานศึกษา สถานพยาบาล ที่ผ่านมามีการมอบอำนาจให้ดำเนินการได้อยู่แล้ว แต่จะมีการปรับปรุงให้ข้อกำหนดสั้นขึ้น อีกทั้งหากฝ่าฝืนต่อไปจะมีการออกใบสั่งเพื่อปรับคล้ายกับการออกขับขี่ ทั้งนี้ยังจะได้ตั้งคณะกรรมการควบคุมยาสูบเพื่อประสานการทำงานร่วมกันในทุกจังหวัดอีกด้วย โดยหลักๆ คือป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ของเยาวชนให้ลดน้อยลง และป้องกันผู้ที่ได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่มือสองให้ลดน้อยลงด้วย” นพ.สุเทพกล่าว
นพ.สุเทพกล่าวว่า ส่วนของชาวไร่ยาสูบที่กังวลว่าจะได้รับผลกระทบ ยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะไม่มีข้อบังคับใดเกี่ยวกับชาวไร่ยาสูบเลย ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มาก และได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพูดคุยเพื่อให้ตัวกฎหมายไม่กระทบกับชาวไร่ยาสูบ โดยมีปลัดของทั้งสองกระทรวงเป็นประธานร่วมกัน จากการพูดคุยพบว่าสิ่งที่กระทบไม่ใช่ตัวกฎหมายแต่เป็นการนำเข้าของบุหรี่ต่างประเทศมากกว่า เพราะแม้ว่าจะมีตัวกฎหมายออกมาแต่ที่ผ่านมาสถิติของการสูบบหรี่ในไทยตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไปพบว่ามีการสูบประมาณร้อยละ 20 มาต่อเนื่องหลายปี จากการดำเนินการที่ผ่านมาพบว่ามีการลดเพียงร้อยละ 1 ต่อปีเท่านั้น จึงเห็นว่าไม่มีการลดฮวบฮาบเป็นไปอย่างช้าๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล
ด้านนายเมธชนนท์ ประจวบลาภ รองเลขาธิการเครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ต้องขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขที่จริงใจแก้ปัญหาบุหรี่ที่กระทบต่อเด็กและเยาวชน ทำให้กฎหมายเกิดความชัดเจนสอดคล้องกับยุคสมัยในปัจจุบันมากขึ้น ทั้งการควบคุมการโฆษณาและห้ามแบ่งแยกซองขายปลีก เพราะเป็นการตัดวงจรการเข้าถึง แรงกระตุ้นสิ่งเร้าในการอยากซื้ออยากลองก็น้อยลง ยิ่งการห้ามโฆษณาบุหรี่ที่เป็นสินค้าอันตรายยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องรีบทำ ถือว่ารัฐบาลมาถูกทาง หากเป็นไปได้ควรมีการเพิ่มเติมเรื่องของอายุ ควรจำกัดอายุผู้ซื้อบุหรี่ต้องไม่ต่ำกว่า 25 ปี เพราะถือเป็นเยาวชน
“เราต่อสู้กับพิษภัยบุหรี่และกฎหมายนี้มานานกว่า 5 ปี ทั้งยังต้องต่อสู้กับอำนาจมืดเพราะธุรกิจบุหรี่มีเม็ดเงินมหาศาล หลังจากนี้เชื่อว่าต้องมีการออกมาค้านสุดโต่ง จึงวิงวอนให้ธุรกิจเหล่านี้หยุดหากินด้วยการทำร้ายคนทำร้ายลูกค้าของตัวเอง ควรเคารพกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม ขอให้รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็กและเยาวชนเป็นหลัก จากนี้คงต้องฝากความหวังไว้ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วิงวอนให้รับหลักการและผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ และบังคับใช้ในปีใหม่ ซึ่งเชื่อว่ากฎหมายนี้จะไม่กระทบกับร้านค้า หรือชาวไร่ยาสูบ และจะทำให้บุหรี่เถื่อนลดน้อยลง” นายเมธชนนท์กล่าว
นายอิมรอน เชษฐวัฒน์ ผู้ประสานงานมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า เครือข่ายพ่อแม่ผู้ปกครองรอคอยกฎหมายฉบับนี้มานานหลายปี จึงเหมือนเป็นของหวังจากรัฐบาลที่มาปลอบประโลมจิตใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่อยากให้ลูกห่างไกลจากพิษภัยบุหรี่ อีกทั้งช่วงนี้ทุกคนพูดถึงในหลวงมักจะน้อมนำพระราชดำรัสสิ่งที่พระองค์ท่านทรงสอนมาปฏิบัติ และเมื่อปี 2547 ในหลวงได้ทรงเป็นห่วงที่เยาวชนติดบุหรี่มากขึ้น เป็นพระราชดำรัสเหมือนพ่อเป็นห่วงลูก ดังนั้นต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่ทำเพื่อคนไทย และน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวงมาปฏิบัติ กฎหมายฉบับนี้จึงตอบโจทย์ช่วยยับยั้งการสูบบุหรี่ อีกทั้งปกป้องคุ้มครองผู้ที่ไม่สูบ