การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินไทยถูกปกคลุมไปด้วยความเศร้าโศก ในเวลานี้ผู้คนต่างประคองใจตนเองเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดตามเบื้องพระยุคลบาท โดยพยายามถ่ายทอดเรื่องราวของพระองค์ตามความถนัดและพรสวรรค์ของตนเอง ขณะที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนไทยจำนวนไม่น้อยอาจดำดิ่งไปในความเศร้า กระทั่งส่งผลต่อสุขภาพใจและกาย
สอดคล้องกับข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เผยว่า คนไทยมีความเครียดและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า โดยกรมสุขภาพจิตได้ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่อยู่ในความโศกเศร้าว่า ควรเข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชน และแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่อพระองค์ เช่น การลงมือทำความดี การเขียนเล่าเรื่องความประทับใจต่อพระราชกรณียกิจ ตลอดจนใช้ศิลปะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงจัดกิจกรรมเพื่อแสดงความอาลัยและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่พระองค์มีต่อปวงชนชาวไทยเป็นระยะเวลายาวนานผ่านกิจกรรม “ศิลปกรรมอาลัย ถวายไท้ ณ แดนสรวง" ณ บริเวณลานหน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ศิลปะ 24 ชั่วโมงให้พสกนิกรชมภาพจิตรกรรมบนฝาผนังอาคารเป็นเวลา 1 ปี ด้วยความหวังที่ว่าศิลปะจะสามารถเยียวยาและบรรเทาความเสียใจของตนเองและคนในสังคม
รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นของงานจิตรกรรมบนฝาผนังว่า หลังนักศึกษาทราบข่าวการสวรรคตของพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รัก ทุกคนต่างเศร้าโศกเสียใจ นักศึกษาจึงรวมเงินกันคนละเล็กคนละน้อยซื้ออุปกรณ์แล้วแอบวาดพระบรมสาทิศลักษณ์ที่ผนังด้านหลังคณะระลึกถึงในหลวงที่อยู่ในใจพวกเขาตลอดเวลา เมื่อตนทราบเรื่องจึงสนับสนุนให้วาดพระบรมสาทิสลักษณ์ทุกอาคารเพื่อเป็นสถานที่ให้ประชาชนได้เดินทางมาร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
“ผมวาดรูปในหลวงมาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่มีคนมายืนดูรูปในหลวงแล้วร้องไห้ นักศึกษา คณาจารย์ร่วมด้วยช่วยกันแบบไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า ประชาชนที่ทราบข่าวก็ต่างมาร่วมเป็นกำลังใจ หอบหิ้ว น้ำ ขนม มาเสริมแรงกายแรงใจให้คนวาดรูป เป็นเหตุการณ์ที่น่าประทับใจและคงไม่มีงานไหนที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อีก” รศ.ดร.นิยมกล่าว
จิตรกรรมภาพวาดบนฝาผนัง ล้วนเป็นผลงานไร้ลายเซ็น เพราะไม่ใช่ผลงานของจิตรกรคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการร่วมมือกันของทุกคน เฉกเช่นเดียวกันกับสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นจุดเริ่มต้นของคนปิดทองหลังพระ โดยมิได้มุ่งหวังให้ราษฎรจำว่าพระองค์ทรงทำโครงการใด แต่พระองค์ทรงงานอย่างหนัก ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี มุ่งหวังเพียงยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวไทยให้ดีขึ้น ศิลปะ 24 ชั่วโมงบนผนังอาคารจึงเปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจ ที่ทำให้ประชาชนคนไทยยังรู้สึกว่าพระองค์ยังคงอยู่
นายกิตติภณ สุพล นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาทัศนศิลป์ เอกจิตรกรรม คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตัวแทนนักศึกษาผู้มีส่วนร่วมในงานศิลปะครั้งนี้ เล่าถึงความประทับใจในฐานะเด็กเรียนศิลปะคนหนึ่งว่า
“หลังทราบข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ศิลปะเป็นสิ่งเดียวที่ผมและเพื่อนสามารถทำเพื่อในหลวงได้ พระองค์ทรงเป็นอัครศิลปิน ผมและเพื่อนๆจึงร่วมกันวาดรูปพระราชกรณียกิจต่างๆ ทั่วบริเวณคณะศิลปกรรมศาสตร์ ทุ่มเทแรงกายแรงใจกันอย่างเต็มที่ให้ภาพแสดงออกถึงความอาลัยและความจงรักภักดีที่ชาวศิลปกรรมศาสตร์มีต่อพระองค์ ด้วยหวังว่าประชาชนที่มาชมจะซาบซึ้งเกิดคุณค่าบางอย่างขึ้นภายในใจ”
หลายครั้งที่งานศิลปะชั้นยอด เกิดขึ้นจากสภาวะจิตใจที่อยู่ในความทุกข์โศก แต่มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตภายใต้ความซึมเศร้าได้เสมอไป “ความหวังและศรัทธา” ต่างหากที่เป็นสิ่งหล่อหลอมในการดำเนินชีวิตในระยะยาว เช่นเดียวกับจิตรกรรมบนฝาผนัง จากฝีมือของนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่นำความโศกเศร้ามาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะ เพื่อเป็นช่องทางในการเยียวยาและบรรเทาความเศร้าของตนเอง ด้วยหวังว่างานศิลปะที่บอกเล่าเรื่องราวของพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ชิ้นนี้อาจมีคุณค่าและมีความหมายมากพอที่จะช่วยประคองสังคมให้สามารถทำหน้าที่อย่างดีที่สุดตามเบื้องพระยุคคลบาทต่อไป